Talk of The Town

BTS-VGI ทำนักลงทุนเจ็บหนัก! ปีนี้ราคาหุ้นดิ่งพสุธา 61-72% โบรกฯ มองแผนอนาคตยังคลุมเครือ


22 ธันวาคม 2568

เกิดอะไรขึ้นกับ 2 หุ้นกลุ่มบีทีเอส ไม่ว่าจะเป็น BTS และ VGI ที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างบ้าคลั่ง นำโดย VGI หากอ้างอิงราคาปิด ณ วันที่ 19 ธ.ค.68 ที่ระดับ 0.98 บาท ลดลงสูงถึง -72.47% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ส่วนค่า P/E แม้ราคาตะลดลงแรง แต่ยังยืนอยู่ระดับ 42.74 เท่า

BTS-VGI ทำนักลงทุนเจ็บหนัก!_S2T (เว็บ)_0.jpg


ด้าน BTS หนักไม่แพ้กัน โดยอิงช่วงเวลาเดียวกัน ราคาหุ้นปิดการซื้อขายที่ระดับ 2.32 บาท ลดลง -61.97% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ส่วนค่า P/E อยู่ที่ระดับ 13.2 เท่า

ความเห็นนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ “ขาย” VGI ให้ราคาเป้าหมาย 1.25 บาท โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 3/68-69 จะทรงตัวหรืออ่อนตัวจากไตรมาสก่อน จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย

อย่างไรก็ตามงวดปี 2568/69 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 265 ล้านบาท ลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และงวดปี 2569/70 คาดที่ 320 ล้านบาท เติบโต 21% ตามลำดับ จากคาดรายได้จากสื่อโฆษณามีอัตราการใช้สื่อที่ 50-52% คาดรายได้ธุรกิจ digital service เพิ่มขึ้น 1% และ 5%  จากกลุ่ม Rabbit Group จาก R-cash, R-care และรายได้จากธุรกิจขายสินค้าคาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยปีละ 2% และ 3% สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว Fanslink เน้นขายสินค้าแบรนด์ตนเองเพิ่มขึ้น และการขยายสาขา Super turtle ต้องใช้เวลาคาด 60 สาขาถึงจุดคุ้มทุน

ขณะที่จากข้อมูลงบการเงินล่าสุด บริษัทมีกระแสเงินสดในมือ 11,000 ล้านบาท และมีแผนลงทุนในปีนี้ (CAPEX) 500 ล้านบาท (ครึ่งปีแรกใช้เงินลงทุนแล้ว 187 ล้านบาท) แม้ว่าบริษัทมีกระแสเงินสดในมือจำนวนมากและมี P/BV ที่ต่ำกว่า 1 เท่า ราคาหุ้นปัจจุบันคาด มี P/BV 25F 0.6 เท่า

แต่แนวโน้มผลประกอบการของภาพรวมธุรกิจปัจจุบันค่อนข้างท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคต คาด FCF ยังติดลบ,  Dividend Yield 2568 0.7% และ ROE 0.7% และ P/E ยังสูง 89 เท่า  ยังไม่น่าสนใจเข้าลงทุน แผนการขยายธุรกิจ Virtual Bank และ Entertainment Complex ไม่เกิดขึ้น และบริษัทยังไม่มีแผนข้อมูลชัดเจนในการใช้เงินลงทุน

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้คําแนะนํา “ถือ” BTS เนื่องจากผลขาดทุนในงวดครึ่งปีแรกปี 69 (งบสิ้นงวดเดือนมีนาคม) สูงกว่าคาด และรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ปรับลดกําไรลงเป็นขาดทุนจากการดําเนินงานที่ 1.8-2.0 พันล้านบาทต่อปี ในปี 69-71 จึงลดงราคาเป้าหมายลดลงเหลือ 2.5 บาท

โดยคาดว่าผลการดําเนินงานของ BTS จะกลับมามีกําไร 1.2 – 4.7 พันล้านบาท ในปี 73-75 หลังเปลี่ยนโครงสร้างสายสีเขียวหลักจากสัญญาสัมปทานรายได้ค่าโดยสาร มาเป็นสัญญาจ้างเดินรถและซ่อมบํารุง (O&M) ในช่วงเดือนธันวาคม 2572 - 2585 ภายใต้สัญญาสัมปทานค่าโดยสารในปัจจุบัน BTS รับรู้ส่วนแบ่งกําไรผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชน ทางราง บีทีเอสโกรท ซึ่ง BTS ถือหุ้นอยู่ 33% และเป็นผู้ถือสิทธิในรายได้ค่าโดยสารสุทธิ ขณะที่ภายใต้สัญญา O&M นั้น BTS จะได้รับรายได้และกําไรจากการเดินรถและซ่อมบํารุงทั้งหมด

ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษานโยบายการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเพื่อจัดตั้งระบบการถือครองทรัพย์สินแบบเจ้าของรายเดียว การรวมระบบตั๋วโดยสาร และสนับสนุนนโยบายค่าโดยสารอัตราเดียว อย่างไรก็ตาม ไม่คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

โดยเนื่องจากรัฐบาลอยู่ ในสถานะรัฐบาลรักษาการภายหลังการยุบสภา และ แผนดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งยังต้องใช้เวลาในการศึกษาและเตรียมความพร้อม รัฐบาลเคยกล่าวถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ค่าธรรมเนียมความแออัด และกองทุน Thailand Future Fund (TFFIF) ในฐานะแหล่งหรือ กลไกเงินทุนที่อยู่ระหว่างการศึกษา