ทองคำพุ่งแรงรับโลกผันผวน ปี 2568 ราคาทองโลกทะยานกว่า 65% เฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง สถาบันมองขาขึ้นยาว
Mr.Data
ปี 2568 ถูกจารึกเป็นอีกหนึ่งปีประวัติศาสตร์ของตลาดทองคำโลก เมื่อราคาทองพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ และนโยบายการเงิน โดยเฉพาะการกลับมาของ “ทรัมป์ 2.0” และการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกหันกลับมาถือทองคำทั้งในรูปแบบทองคำจริงและ Gold ETF อย่างมีนัยสำคัญ
ราคาทองปี 2568 พุ่งแรงทั้งโลก–ไทย
ข้อมูลราคาทองคำสะท้อนความร้อนแรงอย่างชัดเจน โดยราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมากกว่า 65% ตลอดทั้งปี 2568
ราคาต่ำสุดของปีอยู่ที่ 2,614 ดอลลาร์/ออนซ์ (6 ม.ค. 2568)
ราคาสูงสุดของปีทำสถิติที่ 4,381 ดอลลาร์/ออนซ์ (20 ต.ค. 2568)
ด้านราคาทองคำในประเทศ ก็ไม่แพ้กัน โดยราคาทองแท่งต่ำสุดของปีอยู่ที่ 42,800 บาท ราคาสูงสุดของปีพุ่งแตะ 67,400 บาท คิดเป็นการปรับขึ้นมากกว่า 58% ก่อนจะมีแรงขายทำกำไรและกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ 4,200–4,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ในปัจจุบัน
เฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง หนุนราคาทองระยะสั้น
แรงหนุนสำคัญยังมาจากฝั่งนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศ ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50–3.75% ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ย ครั้งที่ 3 ติดต่อกันในปีนี้ พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายในปีหน้า
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% โดยมองว่า Fed ควรเร่งลดดอกเบี้ยให้แรงกว่านี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ปัจจัยบวกต่อราคาทองยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด หลังสหรัฐฯ รายงาน จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 44,000 ราย สู่ระดับ 236,000 ราย สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ สะท้อนสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ Fed จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในอนาคต
ทั้งนี้ เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือน เมษายน และกันยายน ปีหน้า
วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงชัดเจน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Fed ได้เริ่มเข้าสู่วัฏจักรผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง
ปี 2567 ลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้ง
ปี 2568 ลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3.50–3.75%
ทิศทางดังกล่าวตอกย้ำภาพ ดอกเบี้ยขาลงระยะกลาง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อราคาทองคำโดยตรง
สถาบันการเงินระดับโลกมองทอง ไม่ต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์
มุมมองจากสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกสะท้อนตรงกันว่า ทองคำกำลังถูกยกระดับจาก “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” สู่ สินทรัพย์เชิงโครงสร้าง (Structural Asset)
โดยส่วนใหญ่ให้ราคาเป้าหมายปี 2569 ในกรอบ 4,000 – 5,300 ดอลลาร์/ออนซ์
Goldman Sachs 4,900–5,055 ดอลลาร์
J.P. Morgan 4,000–5,300 ดอลลาร์
Bank of America 4,000–5,000 ดอลลาร์
Morgan Stanley 4,400 ดอลลาร์
Deutsche Bank 4,450 ดอลลาร์
TD Securities 4,400 ดอลลาร์
ปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่อดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง , การสะสมทองคำของธนาคารกลาง ,ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์, แนวโน้มลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ (De-dollarization)
Gold ETF แรงขับเชิงโครงสร้างของราคาทอง
ข้อมูลการถือครอง Gold ETF ตั้งแต่ปี 2547–พ.ย.2568 ชี้ว่า กองทุนทองคำกลายเป็นแหล่งอุปสงค์สำคัญของตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเผชิญความไม่แน่นอนสูง
การเพิ่มขึ้นของการถือครอง ETF มักเกิดพร้อม วิกฤติเศรษฐกิจ , ความผันผวนการเงิน , ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ขณะที่บทบาทของ เอเชีย เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนการเปลี่ยนดุลอำนาจทางการเงินโลก
ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ราคาทอง “ขึ้นแรง” แต่เป็นปีที่ทองคำกลับมาอยู่ ศูนย์กลางของระบบการลงทุนโลก
และกำลังเปลี่ยนบทบาทเป็นแกนหลักของการกระจายพอร์ต ในยุคดอกเบี้ยต่ำและความเสี่ยงสูง
นักวิเคราะห์มองทองจ่อทดสอบไฮเดิม
นักวิเคราะห์ Adrian Day จาก Asset Management มองว่าราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยปัจจัยหนุนหลักคือการที่เฟดกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งสะท้อนการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน และเป็นบวกต่อทองคำในระยะถัดไป
นักวิเคราะห์ เจมส์ สแตนลีย์ ประเมินว่า ทองคำกำลังทะลุแนวต้านทางเทคนิคในลักษณะ “Bullish flag pattern” และเหลือเพียงแนวต้านที่จุดสูงสุดเดิม
โดยมองว่าทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่กดดันเฟดให้เปลี่ยนท่าที