SCC ชูเวียดนามบ้านหลังที่สอง ปักหมุดฐานผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก SCGD เล็ง M&A เสริมแกร่งธุรกิจ
SCC ชูเวียดนามเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญ พร้อมดันเป็น Strategic Hub ภูมิภาคอาเซียน เป็นฐานผลิตและส่งออกตลาดโลก ด้าน SCGD หนุน PRIME GROUP ขยายกำลังการผลิตกระเบื้องคุณภาพสูงรับดีมานด์เติบโต พร้อมศึกษา M&A เสริมแกร่งธุรกิจ ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเวียดนาม เร่งพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำขายทั้งในประเทศและส่งออกตลาดโลก

นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ผู้อำนวยการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประจำประเทศเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของกลุ่มบริษัท และเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัท ด้วยการลงทุนรวมกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 28 บริษัท คิดเป็น 28% ของสินทรัพย์รวมของบริษัทครอบคลุมธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์ เพื่อรองรับความต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างศักยภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร
ภายใต้กลยุทธ์ Regional Optimization บริษัทผสานจุดแข็งไทย-เวียดนาม ทั้งด้านดิจิทัลเทคโนโลยี AI & Automation มาตรฐานความปลอดภัย และการบริหารโรงงาน รวมถึงการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล ตามแนวทาง ESG เวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงจากเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเทรนด์เรื่อง Green Building ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสินค้าคุณภาพสูง และฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่กว่า 100 ล้านคน พร้อมศักยภาพส่งออกด้วยต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตในภูมิภาค SCGD หนุน PRIME GROUP ผู้นำตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวอันดับหนึ่งในเวียดนาม PRIME GROUP ซึ่งเป็นธุรกิจ Flagship ที่ SCG เข้าถือหุ้น ตั้งแต่ปี 2555 โดย PRIME เป็นผู้นำตลาด วัสดุตกแต่งพื้นผิวอันดับหนึ่งในเวียดนาม จะเป็นกำลังสำคัญเสริมความแข็งแกร่งให้ SCGD สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำอาเซียน
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD กล่าวว่า เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต ชนชั้นกลางขยายตัว และตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว ทั้งในโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงพรีเมียมที่นิยมใช้กระเบื้อง Glazed Porcelain (GP) ทำให้ความต้องการกระเบื้อง GP เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
PRIME มีรายได้จากการขายประมาณ 5,500 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตทั้งสิ้นประมาณ 80 ล้านตารางเมตร โดยมีแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตกระเบื้อง GP จาก 19 ล้านตารางเมตรในปี 2568 เป็น 25.6 ล้านตารางเมตร ในปี 2569 และตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตเพิ่มถึง 45 ล้านตารางเมตร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการกระเบื้อง GP ที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน PRIME ยังสามารถบริหารต้นทุนรวมของกระเบื้อง GP ให้สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก และด้วยความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ ทำให้ PRIME กลายเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของ SCGD เสริมกลยุทธ์ Regional Optimization สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของตลาด พร้อมรักษาขีดความสามารถในการผลิตให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ในตลาดโลก PRIME ลงทุนติดตั้งระบบ Biomass Gasifier ใช้ชีวมวลแทนพลังงานความร้อนจากถ่านหินที่โรงงาน Pho Yen เพื่อลดต้นทุนพลังงาน และก๊าซเรือนกระจก ทำให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกสำคัญไปยังตลาดในอาเซียนและต่างประเทศ
อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของ PRIME ยังครอบคลุมตลาดทุกกลุ่มพร้อมนวัตกรรมด้านดีไซน์และฟังก์ชันด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเอเชีย สนับสนุนการเติบโตควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตและการดูแลสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ SCGD พร้อมขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ห้องน้ำ COTTO สู่ตลาดอาเซียน ด้วยตัวแทนจำหน่ายที่ประเทศเวียดนามกว่า 44 ราย รวมถึงขยายธุรกิจไปยังสินค้าเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวซีเมนต์และยาแนวกระเบื้อง เป็นต้น
นายนำพล กล่าวอีกว่า SCGD วางงบลงทุนในช่วง 3-5 ปีในประเทศเวียดนาม ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทยังมองหาโอกาสทำ M&A เพื่อขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะในส่วนของภาคใต้ของเวียดนาม หากมีความชัดเจนจะรายงานให้ทราบอีกครั้งภายหลัง ปูนคาร์บอนต่ำเอสซีจี หนุนโครงสร้างพื้นฐานและเมืองสีเขียวเวียดนาม ก้าวสู่ศูนย์กลางการส่งออกของโลก
สำหรับเอสซีจีซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างดำเนินธุรกิจในเวียดนามมากว่า 20 ปี มีกิจการครอบคลุม 11 บริษัท ทั้งธุรกิจซีเมนต์ หลังคา และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอื่นๆ โดยมีฐานการผลิตทั้งในภาคกลางและใต้ รองรับการเติบโตในประเทศและเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก
นายวิเชษฐ์ ชูเชื้อ Country Director - Vietnam ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า “เศรษฐกิจเวียดนามปี 2568 ขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างเติบโตจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะปูนคาร์บอนต่ำที่ขยายตัวตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนโยบาย Net Zero Emission ในปี 2593 และนโยบายเมืองสีเขียวที่ตั้งเป้าภายในปี 2593 เขตเมืองใหม่อย่างน้อย 50% และเมืองทั่วประเทศ 10% ต้องผ่านเกณฑ์เมืองสีเขียวตามที่รัฐบาลกำหนด
เอสซีจีซีเมนต์ในเวียดนาม โดยส่วนของธุรกิจซีเมนต์ มีกำลังการผลิตปูนเม็ด 3 ล้านตันต่อปี และปูนซีเมนต์ 4 ล้านตันต่อปี เอสซีจีซีเมนต์ในเวียดนามเป็นโรงงานที่บริหารต้นทุนการผลิตได้ดีที่สุดของธุรกิจเอสซีจีในภูมิภาค ทำให้เวียดนามนอกจากจะเป็นฐานการผลิตสำหรับตลาดในประเทศแล้ว ยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับตลาดส่งออกด้วย โดยปัจจุบันมีการส่งออกทั้งปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และปูนเม็ดไปยังอเมริกา ยุโรป แอฟริกา โอเชียเนีย และเอเชีย
นอกจากนี้ เอสซีจีซีเมนต์เดินหน้ายกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้วัสดุทดแทนและวัสดุรีไซเคิล ลดการใช้ถ่านหินด้วยเชื้อเพลิงทดแทน เช่น Biomass และ Refuse-Derived Fuel (RDF) และระบบ Waste Heat Recovery (WHR) ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้ได้รับการยอมรับผ่านมาตรฐานระดับสากล เช่น Singapore Green Building Product (SGBC) และ International EPD System (EPD) ซึ่งสะท้อนมาตรฐานความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ ยอดขายปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9000 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 5 ปี จะมียอดขายโต 1.4 เท่าผ่านการขยายฐานกำลังการผลิตและการขยาย Distrbution Network ส่วนเงินลงทุนที่ผ่านมา ของธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ประมาณ 10,000 ล้านบาท และมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับตลาดที่กำลังเติบโต และให้เวียดนามเป็นบ้านหลังที่สองของ SCC ในอนาคต โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษา M&A เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
“กลยุทธ์ด้านการลงทุนและการเสริมศักยภาพต้นทุนการผลิตภายใต้แนวคิด Regional Optimization ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท โดยยกระดับเวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกสินค้าคุณภาพสู่ตลาดโลก รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวคุณภาพสูง และวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสนับสนุนการพัฒนาเมืองสีเขียว และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในเวียดนามและภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน” นายกุลเชฏฐ์ กล่าวปิดท้าย
ยอดนิยม
วันนี้ JKN ปล่อยผีเปิดเทรดครั้งแรก ก่อนโดนเพิกถอนหลักทรัพย์ วันที่ 27 ธ.ค.นี้ ตลท.เตือนนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย
เปิด 8 ข้อไฮไลท์สำคัญประชุม กนง. โบรกฯชี้ปี 69 ดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1% แนะเพิ่มน้ำหนักโรงไฟฟ้า-กอง REIT
MRDIYT เด่นสุดกลุ่มค้าปลีก โบรกฯคาดกำไรปี 68-70 โตปีละ 25% รับแรงหนุนขยายสาขา-ยอดขายสาขาเดิมโต
CPI สหรัฐขยับ 3.1% กดทองระยะสั้น แต่ภาพอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยน ส่วนทองคำไทยลุ้นทะลุ 65,000 บาท