NTF เทรดวันนี้ ตะลึง! เคจีไอ ให้เป้าสุดเดือด 30 บาท หนุนอัพไซด์สูงถึง 400% จากราคา IPO

จับตาบริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF ผู้ส่งออกผลไม้ไทยเกรดพรีเมียม โดยเฉพาะทุเรียนที่เป็นผลไม้ยอดนิยมและมีมูลค่าสูงในตลาดที่มีศักยภาพอย่างประเทศจีนและหลายประเทศ ลุยเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (16 ธ.ค.2568) เป็นวันแรก ด้วยราคา IPO ที่ 6 บาท มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ลาสุดนักวิเคราะห์ให้เป้าหมาย 30 บาท มีอัพไซด์ 400% จากราคา IPO

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น NTF สำหรับปี 2569 ไว้ที่ระดับ 30 บาทต่อหุ้น โดยอ้างอิงอัตราส่วน PEG ที่ระดับ 0.8 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) สำหรับปี 2568–2569 ที่ระดับ 16.3 เท่า และ 13.8 เท่า ตามลำดับ สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัทในระยะกลางถึงระยะยาว

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน ตามการเติบโตของอุปสงค์ทุเรียนในจีนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมี Upside อีกมากสำหรับการเติบโตในระยะยาว

โดยอิง WACC ที่ 11.3% และ Terminal Growth ที่ 2.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ Conservative หากเทียบกับ GDP ของจีนที่ 4-4.5% ต่อปี (อิงการคาดการณ์จาก IMF และ World Bank) ทำให้ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2569 ที่ 27.50 บาท เทียบเท่า PER2569 ที่ 13.8 เท่า

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 251 ล้านบาท เติบโต 289.1% จากปีก่อน หนุนจากการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดจีนที่ยังคงขยายตัวอย่ำงต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้ารายเดิมที่ขยายยอดคำสั่งซื้อย่างมีนัยสำคัญเพื่อรองรับความต้องการบริโภคทุเรียนของจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

รวมถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติมอีก 2 มณฑลในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดขยายตัวเป็น 19% จาก 16% ในปี 2567 เนื่องจากเน้นการจำหน่ายสินค้าพรีเมี่ยม จึงทำให้มีอำนาจในการกำหนดราคา

ขณะที่ในครึ่งหลังของปี 2568 คาดกำไรปกติในที่ 97 ล้านบาท โตเด่น 258.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากครึ่งปีแรก จากการผ่านพ้นช่วง High season ของทุเรียนของไทย นอกจากนี้คาดปี 2569 กำไรปกติจะเติบโตเด่นต่อเป็น 400 ล้านบาท เติบโต 59.4% จากปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลของการขยายช่องทางจัดหน่ายเต็มปี รวมถึงลูกค้ารายเดิมยังมีแนวโน้มขยายยอดคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ขณะที่ GPM คาดขยายตัวต่อเป็น 19.2% จากการได้ผลบวกจาก Economy of scale เพิ่มเติม