Talk of The Town

ราชกิจจาฯ ออกเกณฑ์ใหม่ “ซื้อหุ้นคืน” ไม่ต้องรอเว้น 6 เดือน คาดจูงใจแบงก์เข้าโครงการมากขึ้น


26 พฤศจิกายน 2568

ราชกิจจาฯออกเกณฑ์ใหม่ “ซื้อหุ้นคืน” ยกเลิกข้อบังคับที่ต้องรอ 6 เดือน ก่อนเริ่ม buyback ใหม่ โบรกฯคาดเพิ่มโอกาสจูงใจให้หุ้นธนาคารเข้าโครงการมากขึ้น เพื่อประคอง ROE

ราชกิจจาฯ ออกเกณฑ์ใหม่_S2T (เว็บ)_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ราชกิจจาฯออกเกณฑ์ใหม่เรื่องซื้อหุ้นคืน โดยยกเลิกข้อบังคับที่ต้องรอ 6 เดือนก่อนเริ่ม buyback ใหม่ ราชกิจจานุเบกษามีการประกาศเกณฑ์ใหม่เรื่อง “โครงการซื้อหุ้นคืน” โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ มีผลวันที่ 14 พ.ย. 2568 มีรายละเอียดดังนี้

1. บริษัทสามารถทำโครงการซื้อหุ้นคืนได้ต่อเนื่อง โดยยกเลิกกฎเดิมที่ต้อง รอ 6 เดือน หลังจบโครงการก่อน

2.ห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ซื้อขายช่วงซื้อหุ้นคืน โดยต้องมีมาตรการควบคุม/ป้องกันไม่ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่–ผู้บริหารซื้อขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวระหว่าง buyback

3.เพิ่มระบบควบคุมภายใน (Internal Control) บริษัทต้องมีระบบที่ตรวจสอบได้ เช่น ผู้รับผิดชอบภายใน, ขั้นตอนการตรวจสอบ, เอกสารประกอบเพื่อ audit, วิธีประเมินราคาซื้อหุ้นคืน

4. ต้องเปิดเผยข้อมูลมากกว่าเดิม เช่น วิธีซื้อหุ้นคืน (ผ่านตลาด/โบรกเกอร์), มาตรการป้องกัน conflict of interest, รายงานสถานะโครงการเป็นระยะๆ,รายงานผลเมื่อซื้อเสร็จสิ้น

5. คณะกรรมการบริษัทต้องรับรองความโปร่งใส โดยต้องรับรองว่าการซื้อหุ้นคืนไม่มีประโยชน์ทับซ้อน และต้องรับรองว่าบริษัทมีระบบควบคุมที่ตรวจสอบได้จริง

โดย มองเป็นเซนติเมนต์เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีการซื้อหุ้นคืนค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา (KBANK, KKP, TTB) โดยจากเกณฑ์ใหม่ ถึงแม้ว่าจะเข้มงวดกับบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่มากขึ้นจากการไม่สามารถซื้อ-ขายหุ้นได้ในช่วงที่อยู่ระหว่างโครงการซื้อหุ้นคืน

แต่อย่างไรก็ดี มองว่าการปลดล็อกเรื่องที่ต้องรอ 6 เดือน หลังจบโครงการก่อนถึงจะซื้อหุ้นคืนต่อได้ จะช่วยให้หลายบริษัทสามารถทำโครงการซื้อหุ้นคืนได้อย่างต่อเนื่องได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TTB ที่มีโครงการซื้อหุ้นคืนถึง 3 ปี ซึ่งจะช่วยพยุงราคาหุ้นได้

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า สำหรับการปรับกฎกระทรวงตามข้างต้น เปิดทางให้บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องรอเว้นระยะเวลา 6 เดือน เหมือนกฎเดิม มองว่าน่าจะจูงใจให้บริษัทที่มีฐานทุนและสภาพคล่องเพียงพอ ดำเนินการบริหารโครงสร้างเงินทุน แบบไร้รอยต่อ

ทั้งนี้ หากพิจารณาแนวทางของธนาคารใหญ่ ส่วนใหญ่ในต่างประเทศ ที่มีการประกาศซื้อหุ้นคืนเกือบทุกไตรมาส อาทิ JPM โดยภายใต้ Tier-1 ของธนาคารไทย เฉลี่ยราว 18% เกณฑ์ขั้นต่ำ ธปท. ของ 6 ธนาคาร ที่เป็น D-SIBs ที่ 9.5% และ KKP, TISCO ที่ 8.5% มองว่าฐาน Tier-1 รองรับการซื้อหุ้นคืน ในรูปแบบเดียวกับธนาคารในต่างประเทศ

โดย TTB ที่โครงการซื้อหุ้นคืนเฟสแรกสิ้นสุดเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 68 (ซื้อคืน 2.76% ของจำนวนหุ้น มูลค่า 5.1 พันล้านบาท) และได้เคยขอมติบอร์ดทำโครงการซื้อ หุ้นคืน 2.1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เช่นเดียวกับ KKP ซึ่งโครงการซื้อหุ้นคืนเฟส 2 จะได้ประโยชน์จากกฎกระทรวงข้างต้น จากการเริ่มโครงการรอบใหม่ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่ามาตรการข้างต้น มีโอกาสจูงใจธนาคารที่มีแผนจะซื้อหุ้นคืน อย่าง KTB

ทั้งนี้ ภายใต้ GDP ไทยปีหน้าโต 1.6% และดอกเบี้ยขาลง ทำให้การดำเนินงานกลุ่มธนาคารใหญ่ถูกกดดัน ดังนั้นการบริหารโครงสร้างเงินทุนเพื่อประคอง ROE ยังเป็นธีมหลักของกลุ่มที่ตลาดมอง แต่ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักกับการเลือกตั้งในปีหน้า “กรณีที่การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้นและมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ (Capex cycle ดีต่อ BBL, KBANK และ KTB)” น่าจะช่วยให้ความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยลดลง หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้า สนับสนุนการประเมินมูลค่าหุ้นและหากภาวะตลาดดีขึ้น เอื้อต่อ Non – NII กลุ่มฯ ในส่วนของ Capital market

โดยกลุ่มธนาคารใหญ่ ชอบ KTB จาก ROE สูงสุดในธนาคารใหญ่และโอกาสในการซื้อหุ้นคืน รองมา BBL จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์เริ่มคุมได้ดีขึ้น แม้แผนบริหารโครงสร้างเงินทุนช้ากว่ากลุ่ม แต่สะท้อนในราคาแล้ว หลัง Earning yield (EPS/ Price) ที่ 15% สูงกว่า ธนาคารใหญ่อื่น หากมีการส่งสัญญาณยกระดับนโยบายปันผลจะช่วยให้ราคาหุ้นฟื้นตัวตาม ธนาคารใหญ่อื่นๆ ได้ดีขึ้น และ KBANK เพราะโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัดดาวน์ไซด์และลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้า