ประกันสังคม-วายุภักษ์หนึ่ง พร้อมใจตุน CRC เพิ่ม พบสัดส่วนถือหุ้นแตะนิวไฮ

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ณ วันที่ 2 ต.ค. 2568 พบว่า สำนักงานประกันสังคม ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นแตะ 181,272,866 หุ้นคิดเป็น3.01%ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3  จากเดิมในเดือนพ.ค. 2568 ถือครอง 148,747,666 หุ้น คิดเป็น 2.47% รวมทั้งยังพบว่ามีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าลงทุน ดังนี้

ปี2568 จำนวน 181,272,866 หุ้น คิดเป็น 3.01 %

ปี2567 จำนวน 95,094,266 หุ้น คิดเป็น 1.58 %

ปี2566 จำนวน 65,819,566 หุ้น คิดเป็น 1.09 %

ปี2565 จำนวน133,270,166 หุ้น คิดเป็น 2.21%

สอดคล้องกับ การถือหุ้นของกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง ล่าสุด เพิ่มถือครอง CRC มาอยู่ที่ 133,175,900 หุ้นคิดเป็น 2.21% จากเดิมที่เคยถือครอง 122,778,500 หุ้นคิดเป็น 2.04% และยังเป็นสัดส่วนการถือครองสูงสุดตั้งแต่เข้ามาลงทุน

วันที่ 2 ต.ค.2568 จำนวน 133,175,900 หุ้น คิดเป็น 2.21%

วันที่ 7พ.ค.2568 จำนวน 122,778,500 หุ้น คิดเป็น 2.04 %

วันที่ 13มี.ค.2568 จำนวน 114,168,500  หุ้น คิดเป็น 1.89 %

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของ CRC ล่าสุด 10 อันดับแรกประกอบด้วย

บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด        2,114,284,890       หุ้น คิดเป็น             35.06      %

Deutsche Bank AG Singapore PWM                 277,963,444          หุ้น คิดเป็น             4.61        %

สำนักงานประกันสังคม                                       181,272,866          หุ้น คิดเป็น             3.01        %

กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง                                    133,175,900          หุ้น คิดเป็น             2.21        %

SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED            101,270,546          หุ้น คิดเป็น             1.68               %

UBS AG SINGAPORE BRANCH                      83,481,112            หุ้น คิดเป็น             1.38        %

นาย อิศเรศ จิราธิวัฒน์                                         79,754,213            หุ้น คิดเป็น             1.32        %

นาย ณรงค์ฤทธิ์ จิราธิวัฒน์                                   74,962,279            หุ้น คิดเป็น             1.24        %

บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด                                74,235,763            หุ้น คิดเป็น             1.23        %

นาย สุทธิเดช จิราธิวัฒน์                                      55,809,915            หุ้น คิดเป็น             0.93        %

ส่วนการเคลื่อนไหวราคาหุ้น CRC ตั้งแต่ต้นปีลดลง 38.24%

ด้านบล.เอเซียพลัส ระบุว่า แนะนำ Underperform หุ้น CRC ราคาเป้าหมาย 21.80 บาท เนื่องจาก SSSG ในงวดไตรมาส 3/68 ยังชะลอตัว โดย CRC เปิดเผยตัวเลขการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same Store Sales Growth-SSSG) สำหรับงวดไตรมาส 3/68 ยังชะลอลงในระดับ 2% - 5% โดย SSSG ในเดือน ส.ค. 68 ดีสุด

ส่วน ก.ย. 68 นี้ย่ำแย่สุด เพราะเป็นเดือนที่ฝนตกมากขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการออกไปจับจ่าย และยังเป็นเดือนที่ไม่มีวันหยุดยาว ซึ่ง ผู้บริโภคมักจับจ่ายในช่วงวันหยุดมากกว่าวันทำงาน

 การที่ภาพรวม SSSG ของ CRC ในงวดนี้ยังชะลง เพราะ SSSG ลดลงในทุก ประเทศ ทั้งไทยที่เป็นตลาดหลัก รวมทั้งเวียดนาม (ตลาดรอง) และอิตาลี และหาก พิจารณาตามประเภทสินค้า พบว่ายอดขายทุกประเภทลดลงเช่นกัน (สินค้า กลุ่มอาหาร, กลุ่มแฟชั่น และกลุ่มสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน)

จาก SSSG งวดไตรมาส 3/68 ที่ยังมีแนวโน้มชะลอลง บวกกับกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ ทำ ให้เราคาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักกดดันให้ภาพกำไรของ CRC สำหรับงวด ไตรมาส 3/68 น่าจะลดลง จากไตรมาสก่อน ไปสู่ระดับต่ำสุดของปี

กำไรปกติมีแนวโน้มจะฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญได้ในไตรมาส 4/68 จากหลาย ปัจจัยบวก ทั้งผลเชิงบวกจากฤดูกาล ที่โดยปกติแล้วผู้บริโภคมักจะมีการจับจ่าย สินค้าในไตรมาส 4 ของทุกปี สูงกว่าช่วงอื่นๆ, กำลังซื้อที่จะดีขึ้น หลังภาครัฐ เตรียมกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่จะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ ปลายเดือน ต.ค. 68 ไปจนถึง ธ.ค. 68

นอกจากนี้ CRC เองมีแผนจะการขาย ธุรกิจแฟชั่นในอิตาลี “ห้างรีเซนเต” ออกไปในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการบันทึกกำไร พิเศษราว 6 พันล้านบาท เข้ามาช่วยหนุนกำไรสุทธิไตรมาส 4/68 ด้วย

แม้ว่าคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 4/68 แต่ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ Underperform สำหรับ CRC เนื่องจาก 1) ระยะสั้นยังมีปัจจัยลบที่จะกดดันราคา หุ้นได้ จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/68 ที่คาดจะยังไม่สดใส เพราะอาจจะชะลอลงได้ทั้งจากไตรมาสก่อน (จากผลเชิงลบของฤดูกาล) และจากปีก่อน (จากฐานกำไรที่สูงใน 3Q67) และ 2) ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside เหลือเพียง 5% จากราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 21.80 บาท (อิง PER 16 เท่า, -1.5 S.D)