"นิติ โอสถานุเคราะห์" เพิ่มการถือหุ้น HMPRO สูงสุด 6 ปี ล่าสุดรับปันผลครึ่งปีแรก 110 ล้านบาท
จากการสำรวจข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนพอร์ตลงทุนหุ้นของ "นิติ โอสถานุเคราะห์"ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) OSP ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่ปัจจุบันถือครองหุ้นรวมกว่า 10 บริษัท ประกอบด้วย
BKIH 2,224,362 หุ้น คิดเป็น 2.14 %
CENTEL 41,314,611หุ้น คิดเป็น 3.06 %
CPALL 143,385,900 หุ้น คิดเป็น 1.6 %
CPN 93,125,400 หุ้น คิดเป็น 2.07 %
HMPRO 689,764,862 หุ้น คิดเป็น 5.24 %
IRC 2,838,000 หุ้น คิดเป็น 1.48 %
MINT 558,134,428 หุ้น คิดเป็น 9.84 %
OSP 723,097,300 หุ้น คิดเป็น 24.07 %
TFMAMA 3,334,336 หุ้น คิดเป็น 1.01 %
WHA 630,729,790 หุ้น คิดเป็น 4.22 %
โดยจากข้อมูลดังกล่าว พบว่า ล่าสุดในเดือนก.ย. 2568 "นิติ โอสถานุเคราะห์"ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO โดยจากเดิมถือหุ้น 665,764,862 หุ้น คิดเป็น 5.06% ถือเพิ่มเป็น 689,764,862 หุ้น คิดเป็น 5.24% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ถือครองสูงสุดในรอบ 6 ปี
นอกจากนี้ยังพบว่าในเดือนที่ผ่านมา HMPRO ได้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งแรกของปี 2568 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ0.16 บาทต่อหุ้น ดังนั้น"นิติ โอสถานุเคราะห์"จะได้รับเงินปันผลรวม 110,362,377.92 บาท สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น HMPRO ในเดือนก.ย. 2568 เพิ่มขึ้น 4.93%
ด้านบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า แนะนำ ถือ HMPRO ราคาพื้นฐาน 7.70 บาท เนื่องจากยอดขายสาขาเดิมหดตัวน้อยลง โดย SSSG ของ HomePro ในไทยเดือนก.ค.68 ลดลง 4-5% จากปีก่อน และดีขึ้นเป็นลดลง 3%จากปีก่อน ในครึ่งแรกของเดือนส.ค.25 (เทียบกับไตรมาส 2/68 ที่หดตัว 9% จากปีก่อน)
ส่วน SSSG ของ Mega Home คาดว่าจะพลิกเป็นบวกได้เลขหลักเดียวด้านต่ำในไตรมาส 3/68-ตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบัน จากความต้องการซื้อเพื่อการซ่อมแซมของผู้รับเหมาขนาดเล็กสูงขึ้น ส่วน SSSG ในมาเลเซียคาดว่าจะยังเป็นลบในไตรมาส 3/68
สำหรับยอดขายรวมของ HomePro และ Mega Home เดือนก.ค.68 ทรงตัวจากปีก่อน เป็นผลจากการขยายสาขาขณะที่ GPM เฉลี่ยในไตรมาส 3/68 คาดว่าจะลดลง เพราะสัดส่วนยอดขายจาก Mega Home เพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย ยังคงสูงเพราะ SSSG ติดลบและขยายสาขาใหม่
คาดกำไรหลักในไตรมาส 3/68 คาดว่าจะลดลงทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน โดยประมาณการกำไรหลักไว้ที่ 1.3-1.35 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จาก 1.44 พันล้านบาทใน 3Q24เพราะอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอ ยอดขายสาขาเดิมหดตัว และมาร์จิ้นจากการดำเนินงานแผ่วลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรหลักคาดว่าอ่อนลงเช่นกัน เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล
โดยการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและตกแต่งสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ขณะที่มีสาขาใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็ยิ่งมีการจัดโปรโมชั่นและแข่งขันตัดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายกันมากขึ้น
ดังนั้นคงคำแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 7.70 บาท (DCF) ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/68 น่าจะเป็นช่วงต่ำสุด แล้วจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ในไตรมาส 4/68