Talk of The Town

“ธี่หยด 3” รายได้พุ่งทุบสถิติ! นักวิเคราะห์ชู MAJOR เด่นสุด Q4 มีลุ้นหนังทะลุร้อยล้าน 4 เรื่องรวด


03 ตุลาคม 2568

ล่าสุด “ธี่หยด” หนังผีสยองขวัญที่มีแฟรนไชส์ออกมาถึง 3 ภาค ก็ได้เข้าโรงภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกระแสการตอบรับจากผู้บริโภคก็ยังคงเป็นอะไรที่สนใจอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าปัจจัยสำคัญต่อผลประกอบการของ MAJOR ในช่วงครึ่งปีหลังด้วยเช่นกัน   

“ธี่หยด 3” รายได้พุ่งทุบสถิติ!_S2T (เว็บ)_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองต่อหุ้น MAJOR กำไรครึ่งปีหลังปี 68 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น โดยแนวโน้มไตรมาส 3/68 จะเติบโตเด่นทั้งไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกัน จากรายได้จากค่าตั๋วหนัง (Admissions) ที่เติบโต 20-25% 

โดยจากการที่มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉายหลายเรื่อง อาทิ Jurassic World Rebirth, Superman, The Fantastic Four: First Steps และดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต เติบโตแรงจากฐานปีก่อนที่มีภาพยนตร์เข้าฉายน้อยและไม่มีหนังไทยหรือฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ 

ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายอาหารและป๊อบคอร์นเติบโตตามรายได้ภาพยนตร์ ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรคาดดีขึ้น นอกจากผลของรายได้ที่ฟื้นตัว บริษัทมีนโยบายควบคุมต้นทุน ไม่มีการลดราคาป๊อบคอร์นเหมือนไตรมาสก่อน และเริ่มเห็นผลบวกจากกลยุทธ์ในการลดต้นทุน ในการปิดโรงภาพยนตร์บางแห่งที่มีรายได้น้อยและมีค่าเช่าที่สูง เพื่อลดต้นทุนค่าเช่า

ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/68 คาดยังดีต่อเนื่อง จากภาพยนตร์ที่คาดว่าทำรายได้เกิน 100 ล้าน อาทิ Avata3, ธี่หยด3, อีเรียมซิ่ง 2 และอนงค์ 2 ซึ่งล้วนเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินดีในภาคก่อน จากข้อมูลล่าสุด ภาพยนตร์ธี่หยด 3 เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดของปี 60 ล้านบาท 

สำหรับธุรกิจอื่นๆคาดจะฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน อาทิธุรกิจป๊อปคอร์น ที่หาช่องทางการขายใหม่ๆมากขึ้น ส่วนรายได้โฆษณาคาดดีขึ้นเนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เข้าฉายมากขึ้นกว่าทั้งครึ่งปีแรกและปีก่อน ซึ่งภาพรวมปี 2568 คงประมาณการกำไรที่ 621 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน

ทั้งนี้ จากการที่ MAJOR จับมือกับ TKN เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุน “ทีเคเอ็น แอนด์เมเจอร์ป๊อปคอร์น จำกัด” เรามีมุมมองเป็นบวกจากการนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาผสมผสานกัน เมเจอร์มีแบรนด์ป๊อปคอร์นโรงหนังที่ผู้บริโภคคุ้นเคยและยอมรับในคุณภาพ

ส่วนเถ้าแก่น้อยมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและเครือข่ายการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นการต่อยอดให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง และดีลนี้ช่วยให้เมเจอร์สามารถกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ใหม่จากธุรกิจอื่นนอกจากภาพยนตร์

ขณะที่ ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอในครึ่งปีแรกไปแล้ว เราคาดหวังผลประกอบการจะพลิกกลับมาเติบโตโดดเด่นในครึ่งปีหลังปี 68 จากการเข้าฉายของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องทั้งฮอลลีวูดและไทย ซึ่งจะหนุนทั้งรายได้จากตั๋วชมภาพยนตร์รายได้โฆษณา และรายได้จากการขายอาหารฟื้นตัวแรงขึ้น 

รวมถึงผลบวกจากนโยบายการควบคุมต้นทุน อีกทั้งราคาปัจจุบันถือว่าถูก ซื้อขายที่ P/E เพียง 10.9 เท่า ต่ำ ซึ่งต่ำกว่าช่วงวิกฤตการแพร่ระบาด COVID-19 จึงคงมูลค่าพื้นฐานที่ 13.50 บาท และ แนะนำ “ซื้อ”