ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้เผยกลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาส 4 โดยชี้ว่าตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญแรงกดดัน แต่ตลาดหุ้นไทยจะมีความเสี่ยงขาลงที่น้อยกว่าตลาดหุ้นโลก
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาส 4/2568 โดยมีความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยเฉพาะตลาดแรงงานมากขึ้นที่สำคัญ ดูเหมือนว่าตลาดยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงปัจจัยนี้เข้าไปในราคามากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาพของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่มีแนวโน้มกลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่งลดดอกเบี้ยไปเมื่อการประชุมเดือนกันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับการปรับลดค่ากลาง Dot plots ปีนี้ลง 1 ขั้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ก็คือโอกาสที่เงินเฟ้อจะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเมื่อมารวมกับการที่นักลงทุนยังคง Underprice ความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างมาก ณ เวลานี้ ทำให้ประเมินว่าหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้โอกาสในการลดดอกเบี้ยของ Fed นี้ถูกลดทอนจนเกิดความผิดหวังขึ้นในตลาดได้
ในไตรมาสนี้ ตราสารที่ยังคงชื่นชอบและแนะนำให้ถือครองเป็นหลักยังคงได้แก่ พันธบัตรและทองคำ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปิด Downside risk มากขึ้น และเทรนด์ดอกเบี้ยโลกที่น่าจะยังเป็นขาลงอยู่
ส่วนในฝั่งของตลาดหุ้นนั้น ประเมินตลาดหุ้นไทยจะมีความเสี่ยงขาลงที่น้อยกว่าตลาดหุ้นโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือ Underweight หุ้นที่เชื่อมโยงกับภาวะเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มวัฏจักรโลก สินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์
ในทางกลับกัน ประเมินกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวดีกว่าตลาดและแนะนำ Overweight จะได้แก่ กลุ่ม Bond-like เช่น กอง REIT และ IFF กลุ่มหุ้น Defensive เช่น โรงพยาบาลและกลุ่มสาธารณูปโภค รวมถึงกลุ่มวัฏจักรภายในประเทศ เช่น ค้าปลีก ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ และ โรงแรม เพื่อรองรับกับนโยบายกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในช่วงถัดไป
ประเมินระดับเป้าหมาย SET Index ในไตรมาสที่ 4 ที่ระดับ 1,300-1,320 จุด ซึ่งเป็นระดับที่คำนวณได้จากกรณีฐานวิธี PE Model อิงสมมติฐานดอกเบี้ยนโยบายของไทยสิ้นปีนี้ที่ระดับ 1.25% ซึ่งนั้นหมายถึงการลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ที่รออยู่ และอิงกับคาดการณ์EPS ของ SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 90 บาท
ในทางกลับกันประเมินแนวรับสำคัญของดัชนี SET ในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ระดับ 1,200 จุด ซึ่งเป็นระดับที่คำนวณได้จากกรณีอนุรักษ์นิยม บนสมมติฐานตัวแปรต่างๆเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ หากนำทั้งระดับดัชนีเป้าหมายและแนวรับข้างต้นมาเทียบเคียงกับดัชนี SET ปัจจุบันที่ 1,250 จุด จะพบว่า Risk/Reward ขณะนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนใหม่หรือเพิ่มน้ำหนักแล้ว โดยแนะนำเพียงการถือครองหุ้นในส่วนเดิมเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว กลุ่มหุ้นไทยที่มองว่านักลงทุนสามารถเลือก Overweight ได้ในภาวะที่ Upside ของดัชนี SET คงมีไม่มากนัก จะได้แก่ ค้าปลีก อสังหาฯ โรงพยาบาล ไฟแนนซ์ REIT&IFF สาธารณูปโภค และท่องเที่ยว
โดยมีหุ้นที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ได้แก่ CPAXT, HMPRO, COM7, CPN, BDMS, KTC, MTC, 3BBIF, DIF, BGRIM, GPSC, ERW, CENTEL
ส่วนกลุ่มที่แนะนำ Underweight จะได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน ปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์ และธนาคาร โดยจะเห็นได้ว่ากลุ่มธนาคารเป็นเพียงกลุ่ม Domestic play กลุ่มเดียวที่แนะนำ Underweight เนื่องจาก Valuation ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงแล้ว ประกอบกับแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อที่อาจแย่ลงต่อไป และการเข้าสู่รอบอ่อนตัวของผลประกอบการตามวัฏจักรปกติในช่วงไตรมาสที่ 4