Talk of The Town

ก.ล.ต. ผนึก 3 หน่วยงาน ตั้งทีมปฏิรูปตลาดหุ้นไทย ชู 4 กลุ่มมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุน


15 กันยายน 2568

ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญหนึ่งของภาคธุรกิจ ภาครัฐ พร้อมเป็นทางเลือกของภาคประชาชนในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นได้จากสัดส่วนมูลค่าตลาดทุน (ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้) ที่ผ่านมาเคยสูงถึง 2 เท่า ของ GDP ปัจจุบันเฉพาะตลาดหุ้นมีสัดส่วน 87% เมื่อเทียบกับ GDP ซึ่งมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา

ก.ล.ต. ผนึก 3 หน่วยงาน_S2T (เว็บ)_0.jpg

โดยหากฉายภาพลงมาที่ตลาดหุ้นจะพบว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในระยะที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในอาเซียนยังมีความโดดเด่นในหลายมิติ อาทิ ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงเป็นอันดับต้น โดยมีหุ้นไทยอยู่ในดัชนีด้านความยั่งยืนสากลเป็นอันดับต้นเช่นกัน อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนของไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุด

แต่อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนในการลงทุนเฉลี่ยย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกัน โดยปัจจัยท้าทายมีตั้งแต่การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI การขาดหุ้นอุตสาหกรรมอนาคต การชะลอการเข้าระดมทุนหุ้น IPO ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงเมื่อเทียบกับอาเซียนมีแนวโน้มลดลง

จากความท้าทายและแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่เปราะบางและผันผวน ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นจากทั้งในและนอกภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากไม่เร่งหามาตรการสร้างเสน่ห์เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกลดทอน บทบาทและความสามารถในการเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้

ดังนั้น การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดหุ้นไทย (Taskforce) ที่ริเริ่มจากสำนักงาน ก.ล.ต.มีจุดมุ่งหมายในการระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหา และหาแนวทางในการฟื้นฟู/ส่งเสริมความสามารถของตลาดหุ้นไทยให้สามารถแข่งขันพร้อมกับมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความท้าทาย เพื่อที่จะยังคงความสามารถในการเป็นกลไกที่สำคัญในการสร้างเสริมเศรษฐกิจไทย โดยองค์ประกอบ Taskforce มาจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, สำนักงาน ก.ล.ต., ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

โดยจากการประเมินปัญหาและผลกระทบโดยคณะทำงาน (Taskforce) นำมาสู่ข้อสรุปในการเสนอแนะมาตรการที่สร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย ซึ่งจะออกเป็นแพ็กเกจเพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุน สร้างสมดุลทั้งในส่วนของผู้ลงทุนรายใหญ่-รายย่อย และผู้ลงทุนต่างชาติ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

1.Quality Demand เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) และเพิ่มบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับตลาดหุ้น เป็นต้น

2.Attractive Supply เช่น การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศและเข้าสู่ตลาดทุนไทยผ่านช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)ให้กระชับ เน้น “การเปิดเผยข้อมูล” ลดขั้นตอนและลดเอกสารซับซ้อนภายใต้การคุ้มครองผู้ลงทุนที่เหมาะสม

อีกทั้ง ส่งเสริมการจัดทำแผนเพื่อยกระดับมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พร้อมให้ บจ. ต้องมีการเปิดเผยแผนและผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและสื่อสารกับผู้ถือหุ้นได้ มี Roadmap ที่ชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESGในระดับสากล เป็นต้น

3. Trusted Market เช่น การสร้างความเข้มแข็ง corporate governance ของ บจ. การยกระดับการกำกับ gatekeepers เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลาง-ย่อม-เล็ก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ลงทุน เป็นต้น

4. Supportive Ecosystem เช่น การเสริมสร้างระบบนิเวศน์ให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อย (Inclusion)รวมทั้งการให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น

สำหรับการขับเคลื่อนตลาดทุนในระยะต่อไป การขับเคลื่อนมาตรการตลาดทุนในระยะเริ่มต้นจะเน้นการสร้างเสน่ห์ให้ตลาดหุ้นเป็นลำดับแรก ผ่านการดำเนินการของ Taskforce เพื่อให้ได้รับข้อเสนอและแรงสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ดี สำนักงาน ก.ล.ต. จะเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในส่วนอื่น ๆ ทั้งตลาดตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนของประชาชน (tokenization)โดยจะมีการจัดตั้ง Taskforce ชุดอื่นเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป

การผนึกกำลังร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้มุ่งหวังเห็น “มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย“ ที่สัมฤทธิ์ผล สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนไทยยังคงเป็นแหล่งระดมทุน และลงทุนที่ตอบโจทย์ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

สุดท้ายนี้ ดร.วโรทัยโกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า อยากให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต สิ่งสำคัญ คือ จะต้องเสริมสร้างตลาดทุนให้มีความแข็งแกร่งในทุกด้าน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดทุน และทำให้ตลาดทุนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถยกระดับตลาดทุนให้แข่งขันได้ในระยะยาว

ขณะที่ ศ. ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. เชื่อว่าทุกภาคส่วนในตลาดทุนเห็นด้วยกับการที่ตลาดทุนไทยต้องปรับตัว เพื่อสร้างโอกาสและรักษาความสามารถในการแข่งขัน ความท้าทายที่เผชิญอยู่ต้องอาศัยความร่วมมือในการมองโจทย์ เห็นปัญหา และหาทางเปลี่ยนแปลงที่ต้องสอดคล้องและส่งเสริมกันในแต่ละภาคส่วน ไม่สามารถทำได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง

มาตรการที่นำเสนอจึงควรสกัดมาจากความคิดเห็นร่วมกัน แม้จะเป็นทิศทางที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่น่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและเสน่ห์ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลดีกับตลาดทุนไทยในระยะยาว

นาย อัสสเดช คงสิริกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลท. มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้วยการเสริมสร้างทั้งความน่าสนใจและความเชื่อมั่นในตลาดทุน เรามั่นใจว่า การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนและมาตรการที่ร่วมกันผลักดันในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับศักยภาพของตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมดึงดูดทั้งการระดมทุนและการลงทุน ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น

และ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูลประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญความท้าทายทั้งจากในและนอกประเทศ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในการดำเนินมาตรการปฏิรูปตลาดทุนครั้งนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางรากฐานตลาดทุน เพื่อยกระดับความโปร่งใส เสริมสร้างความเชื่อมั่น ให้กับทั้งผู้ลงทุนและผู้ร่วมตลาด และพร้อมเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน