Talk of The Town

MEDEZE จัดทัพธุรกิจ เดินหน้าผลิตยาจากสเต็มเซลล์ รายแรกของไทย ชิงตลาด 2.8 หมื่นลบ.


05 กันยายน 2568

MEDEZE จัดทัพธุรกิจ_S2T (เว็บ).jpg

บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE ผู้นำด้านนวัตกรรมทาง ชีวภาพในการรับฝากสเต็มเซลล์ และเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจทางเทคโนโลยีชีวภาพ (BioTec) เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงการ “เป็นธนาคารฝากเก็บเซลล์ต้นกำเนิด” มีเซนไคม์ที่ใหญ่ที่สุดและมีประสบการณ์มากที่สุดในประเทศไทย

และอีกก้าวที่สำคัญของ MEDEZE กำลังพลิกโฉมจากธนาคารสเต็มเซลล์ สู่บริษัทไบโอฟาร์มา ผู้ผลิตยาจากสเต็มเซลล์ หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) รายแรกของไทยและอาเซียน พร้อมวางเป้าหมายภายใน 3 ปี ธุรกิจยาจะกลายเป็นธุรกิจหลัก

นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริษัท เปิดเผยว่า โครงการ Advanced Therapy Medicinal Products (ATMPs) Sandbox เป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูงสำหรับการรักษาเชิงลึกแบบเฉพาะบุคคล 

โดย MEDEZE เป็นภาคเอกชนเพียงรายเดียวที่ร่วมดำเนินโครงการ ATMPs Sandbox ณ อาคารศูนย์การแพทย์บางรัก และโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยา ครอบคลุม 5 โรค ประกอบด้วย โรคข้อเข่าเสื่อม  การชะลอวัย ผิวหน้าเสื่อมตามวัย โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม และมะเร็งลำไส้ มูลค่าตลาดกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ประเมินว่า จะได้รับอนุมัติจากกรรมการจริยธรรม  และผ่านมาตรฐาน GMP สำหรับแล็บผลิต ATMP ภายในเดือนกันยายนนี้ และเตรียมเปิดรับอาสาสมัคร 600 คน เข้าร่วมโครงการทดลองรักษาฟรีในช่วงไตรมาส 4/2568  โดยบริษัทตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียนยาอย่างน้อย 2 โรค ภายในไตรมาส 3/2569 

หลังจากนั้นบริษัทพร้อมรุกตลาดเชิงพาณิชย์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับสูง คลินิค และโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับสูง โดยวางเป้าหมายปีแรก 2570 จะสร้างรายได้กว่า  300 ล้านบาท และบริษัทวางเป้าหมายภายใน 3 ปี (2570-72) สัดส่วนรายได้จากธุรกิจยาจะกลายเป็นธุรกิจหลัก หรือมีสัดส่วนที่มากกว่า  การรับฝากสเต็มเซลล์  และคาดจะเห็นจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปี เนื่องจาก มูลค่าการลงทุนไม่สูง เพราะมีร่วมมือกับภาครัฐ โดยวางเป้าหมายขึ้นทะเบียนยาใหม่อย่างน้อย 2 ชนิดต่อปี

จากตัวเลขมูลค่าตลาดที่สูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท บริษัทจึงมีแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างซื้อที่ดิน เพื่อจัดตั้งโรงงาน และเตรียมลงทุนในระบบหุ่นยนต์ประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการให้บริการ คาดกระบวนการติดตั้งระบบจะเริ่มในปี 2569 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2570