ลุ้นระทึก! ศุกร์นี้ แพทองธาร รอด-ร่วง? เกมการเมือง ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทย
จับตา ศุกร์นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจคดี แพทองธาร โบรกฯ คาดรอดหรือไม่รอด ก็ทำหุ้นไทยผันผวน หวั่นทำดัชนีลงไปทดสอบ 1,180-1,200 จุดได้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า หลังเกิดกรณีคลิปหลุดเสียงสนทนาระหว่าง คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซ็น ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองสร้างคะแนนนิยมที่ลดลงให้กับฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน มีการชุมนุมขับไล่ถึง 2 ครั้งใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเกิดการใช้อาวุธสงครามระหว่างกันของไทยและกัมพูชาในช่วงปลายเดือน ก.ค. 68
ปัจจัยทั้งหมดอาจมีแรงส่งมาถึงคดีมาตรฐานจริยธรรมของนายกรัฐมนตรี จากการเข้าชื่อกันของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 1 ใน 5 หรือ 20 คน ยื่นตรงต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ แล้วทางศาลรัฐธรรมนูญได้รับไว้พิจารณาพร้อมทั้งสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ คุณแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี (แต่ยังให้ดำรงตำแหน่งต่อในฐานะ รมว.วัฒนธรรม) จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย โดยระหว่างนั้น คุณแพทองธาร ได้ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรับการไต่สวนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และส่งคำแถลงปิดคดีในวันจันทร์ที่ 25 ส.ค. 68 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
โดยวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 68 ศาลรัฐธรรมนูญ จะทำคำวินิจฉัยกลางและลงมติกรณีดังกล่าวว่าขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ในเวลา 10.00 น. และอ่านคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. ซึ่งผลค่อนข้างประเมินได้ยาก และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน อาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
ฉากที่ 1ไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม (รอด) คุณแพทองธาร ชินวัตร จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ด้วยอำนาจเต็มอีกครั้ง และน่าจะบริหารประเทศไปอีกอย่างน้อยถึงช่วงไตรมาสที่ 1/69 เพื่อผลักดันนโยบายรัฐบาลที่ค้างคาอยู่ ก่อนจะยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ เพื่อไม่ให้ คุณแพทองธาร ชินวัตร ต้องเผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
ส่วนการเมืองนอกสภาหาก คุณแพทองธาร ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง อาจจุดกระแสให้กลุ่มฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีพลังในการชุมนุมอีกครั้ง ซึ่งต้องประเมินว่าจะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้นหรือยกระดับการชุมนุมได้หรือไม่ และยังต้องระวังปัญหาจากชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ฉากที่ 2 ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม (ไม่รอด) คุณแพทองธาร ชินวัตร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที ทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นสภาพไปด้วย สภาผู้แทนราษฎรต้องลงมติเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีจากรายชื่อแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่ยังเหลืออยู่และมีจำนวน ส.ส. มากกว่า 25 คน ปัจจุบันสภาผู้แทนราษฎรมี 495 เสียง เกินกึ่งหนึ่งคือ 248 เสียง จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามฉากที่ 2 มองว่าการตั้งรัฐบาลรอบนี้ จะไม่ง่ายและไม่เร็ว เนื่องจากเป็นช่วงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พรรคร่วมรัฐบาลมีอำนาจต่อรองสูงกับพรรคแกนนำ รวมถึงพรรคฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์จับขั้วตั้งรัฐบาลได้ด้วยเช่นกัน จึงน่าจะเกิดภาวะชุลมุนวุ่นวายในการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
โดยพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแกนนำเดิม น่าจะส่งชื่อของ “คุณชัยเกษม นิติสิริ” ซึ่งเป็นแคนดิเดตคนสุดท้ายในรายชื่อของพรรคเพื่อไทยเข้าลงชิงตำแหน่ง เพื่อรักษาอำนาจการนำและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ในมือ
ซีกฝั่งฝ่ายค้านน้ำเงิน-ส้ม “คุณอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จึงมีโอกาสเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน ที่หากจะได้คะแนนเสียงจากพรรคประชาชนมาโหวตให้ ต้องทำตามเงื่อนไขคือ เป็นรัฐบาลชั่วคราว (6 เดือน ถึง 1 ปี) และจัดให้มีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญไปพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งถัดไป
หากพรรคภูมิใจไทยยอมรับเงื่อนไขนี้ คุณอนุทินมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี ทำให้เก้าอี้คณะรัฐมนตรีมีว่างจำนวนมาก พรรคร่วมรัฐบาลเดิมอาจจะพลิกขั้วมาเข้าร่วมกับรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยก็ได้ อีกทั้งหากพรรคประชาชนสนับสนุนจะหมดปัญหาเรื่องรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
การจัดตั้งรัฐบาลอาจลากยาวออกไปถึงช่วงการตัดสินคดีชั้น 14 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 9 ก.ย. 68 ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฉากจะสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นไทย โดยหากออกฉากที่ 1 ต้องจับตาเรื่องของ พ.ร.บ.งบประมาณ 69 ที่จะเข้าพิจารณาในชั้นวุฒิสภาในวันที่ 1-2 ก.ย. 68 ซึ่งหากวุฒิสภาตีตกลงมาจะเกิดความล่าช้าในการใช้งบประมาณ 69
ส่วนหากออกฉากที่ 2 ช่วงที่รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลอาจเป็นช่วงเปราะบางของตลาดหุ้นไทย ดัชนีอาจลงไปทดสอบ 1,180-1,200 จุดได้ และจะฟื้นตัวเมื่อตลาดพอจะทราบว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ที่หากมีไทม์ไลน์ชัดเจนทั้งการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมถึงการเลือกตั้งในอนาคต ตลาดอาจจะคลายกังวลและกลับมา Bullish ได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากหากเป็นไปตามฉากที่ 1 ยังต้องจับตาเรื่องของพ.ร.บ.งบประมาณ 69 ที่จะเข้าพิจารณาในชั้นวุฒิสภา ดังนั้น จึงแบ่งกลยุทธ์การลงทุนออกเป็น 2 แนวทางด้วยกัน ตามฉากที่เราประเมินไว้ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญในระยะถัดไป
โดยแนวทางที่ 1 เป็นไปตามฉากที่ 1 ไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม (รอด) และวุฒิสภาเห็นชอบพ.ร.บ.งบประมาณ 69 ในการพิจารณาวันที่ 1-2 ก.ย. 68 แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่รับความคาดหวังต่อโครงการ/มาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐในด้านต่างๆ ได้แก่
มาตรการสนับสนุน/กระตุ้นการบริโภค AEONTS, BEM, BTS, CPALL , CPAXT, ERW, MTC, SAWADSAWADและTNP, งบประมาณและโครงการก่อสร้างของภาครัฐ CK, KTB, STECON และUNIQ และการลงทุนภาคเอกชนและ Data center: ADVANC, AMATA, BBL, GULF, KBANK, SCB และWHA
แนวทางที่ 2 เป็นไปตามฉากที่ 1 แต่วุฒิสภาตีตกพ.ร.บ.งบประมาณ 69 ในการพิจารณาวันที่ 1-2 ก.ย. 68 หรือเป็นไปตามฉากทัศน์ที่ 2 ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม (ไม่รอด) แนะนำหลบไปหาหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอก ได้แก่ หุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ MINT IVL, PTTGC, SCC และ SCGP และหุ้นที่อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ รวมถึงค่าการกลั่น BCP, PTTEP, SPRC และ TOP
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
ADVANC โดดเด่น! โบรกฯ ชูเป็นหุ้น Big Cap นำตลาด แถมยังมีแรงหนุนบิ๊กล็อตก้อนโต 1 หมื่นล้าน
%20copy_0.jpg)
DELTA วันนี้เสี่ยง หลัง Nvidia เผยตลาดดาต้า เซ็นเตอร์โตช้ากว่าคาด โบรกฯ แนะ “ขาย” ให้เป้าหมาย 66 บาท
%20copy_0.jpg)
เตือน! ทองคำเสี่ยงเจอแรงขาย ไม่ผ่าน 3,403 ดอลลาร์ มีโอกาสพักฐาน กลยุทธ์รอเลือกทาง! ย่อช้อนซื้อ
%20copy_0.jpg)
DUSIT ทะยานชิลลิ่ง แม้งบผลงานตกต่ำ ขาดทุนสะสมพันล้าน โบรกฯ ชี้ดราม่าแย่งบริษัท สะท้อนสินทรัพย์มีมูลค่า
%20copy_0.jpg)