จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : LEO พลิกวิกฤติเป็นโอกาส บุกตลาดนำเข้า-ส่งออกไปสหรัฐฯ ชูจุดแข็ง Network พันธมิตรในสหรัฐฯ


14 สิงหาคม 2568
บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)  มองสหรัฐเก็บภาษีประเทศต่างๆทั่วโลก เป็นโอกาสทองผู้ประกอบการไทย ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเป็นพันธมิตรและคู่ค้า  นำเสนอบริการโลจิสติกส์ครบวงจร หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง

LEO พลิกวิกฤติเป็นโอกาส_รายงานพิเศษ S2T (เว็บ)_0.jpg
 
การดำเนินนโยบายด้านมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่ในส่วนของเศรษฐกิจไทย  นายกอบศักดิ์  ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้)  เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 น่าจะเติบโตที่ 1.5-2% หลังจากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีกับสหรัฐที่ 19% ซึ่งแม้ว่าข้อเสนอของไทยจะไม่ได้ดีเท่าเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่เสนอเปิดตลาดภาษี 0% ทุกรายการให้กับสหรัฐฯ แต่ไทยก็ยังได้อัตราภาษีที่สามารถแข่งขันกับภูมิภาคได้ และต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างจีนหรืออินเดีย ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
 
การเก็บภาษีของสหรัฐ ยังเป็นการสร้างโอกาสให้กับบางธุรกิจ  ซึ่ง “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)  มองว่า การปรับลดภาษีส่งออกและนำเข้าจากสหรัฐฯ ครั้งนี้ คือโอกาสทองของผู้ประกอบการไทย ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าจีนและเวียดนาม  ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้นำเข้าสินค้าสินค้าจากอเมริกา เช่น วัตถุดิบชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท ก็จะสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
         
LEO ในฐานะผู้ให้บริการ End-to-End Logistics Service Provider พร้อมเป็นพันธมิตรและคู่ค้าในการนำเสนอบริการโลจิสติกส์ครบวงจร ช่วยลดต้นทุน  เพิ่มความเร็ว ขยายโอกาส  พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ โดยสามารถให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทางในสหรัฐฯ จนถึงปลายทางในประเทศไทย ครอบคลุมบริการขนส่งระหว่างประเทศทั้งทางทะเล (Sea Freight) และทางอากาศ (Airfreight), บริการดำเนินพิธีการศุลกากร (Customs Clearance) การจัดเก็บและกระจายสินค้า (Warehouse & Distribution Management) รวมถึงการให้คำปรึกษาในทุกๆ เรื่องสำหรับการนำเข้าและส่งออก
 
อีกหนึ่งจุดแข็งของ LEO ที่ทำให้สามารถรองรับการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ "เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ (Agency Network) " ที่แข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกา ทางบริษัทฯ มีพันธมิตรมากกว่า 280 agents อยู่ในมากกว่า 40 มลรัฐ ที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร ทำให้สามารถควบคุมระยะเวลา ประสิทธิภาพ และต้นทุนได้อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดส่งสินค้าถึงปลายทางในไทยได้อย่างราบรื่น
 
อีกทั้ง ในปี 2567 ที่ผ่านมา LEO มี Volume การขนส่งสินค้าทั้งนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทย-สหรัฐฯ มากกว่า 8,000 TEUs ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนความมั่นใจของลูกค้าต่อมาตรฐานการให้บริการระดับสากล และชี้ชัดถึงศักยภาพของบริษัท ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะตลาดส่งออกเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับตลาดขาเข้า (Import) อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด LEO  ยังเป็นผู้ประกอบการ Logistic Services Provider (LSP) ของคนไทย ที่สามารถให้บริการในลักษณะ Weekly LCL/ Consolidation Service to/from ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ผู้ประกอบการอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทข้ามชาติ
         
ด้านการนำเข้าจากสหรัฐฯ  นายเกตติวิทย์ ระบุ "บริการนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นหนึ่งใน Product Highlight ตามแผนธุรกิจปี 2568 ของ LEO ที่เราตั้งใจโปรโมทและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของเครือข่ายพันธมิตรของเราในประเทศสหรัฐอเมริกาและมองเห็นเทรนด์ของตลาดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจรที่ลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบาย และต้นทุนที่เหมาะสมมากขึ้น"         

นอกจากนี้ LEO ยังเตรียมแผนเสริมความแข็งแกร่งในฝั่งบริการดำเนินพิธีการศุลกากร  ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึง Cold Chain Warehouse เพื่อรองรับเทรนด์การค้าระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การปรับลดภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของปริมาณการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญต่อรายได้ของธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานลูกค้าส่งออก-นำเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ
LEO