จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : SCC ราคาหุ้นกลับมาโดดเด่น สัญญาณบวกหากต่างชาติเพิ่มน้ำหนัก ผู้บริหารมั่นใจ EBITDAปี68 ดีกว่าปีก่อน


07 สิงหาคม 2568

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 2 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นแตะ10% เป็นสัญญาณบวกหากต่างชาติเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในไทย ขณะที่ผู้บริหารมั่นใจ EBITDA ปี 68 ปรับตัวดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 54,000 ล้านบาท

SCC ราคาหุ้น_รายงานพิเศษ S2T (เว็บ)_0.jpg

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี ระบุผลประกอบการ ในครึ่งปีแรก มีรายได้ 249,077 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 67 ที่ทำไปได้ 6,133 ล้านบาท ส่วน EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังปี 67 ราว 21%

จึงมั่นใจว่าทั้งปี 68 EBITDA จะดีกว่าปีก่อนที่ทำไปได้ 54,000 ล้านบาท หนุนด้วยกลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ รวมถึงหาโอกาสเข้าซื้อกิจการใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ SCC ที่ทำมาอยู่ตลอด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและพร้อมลงทุนทันทีถ้าข้อสรุปออกมาดี

ส่วนโครงการสำคัญ ได้แก่ โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) เตรียมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งปลายเดือนสิงหาคม 2568 แม้จะมีการพิจารณาปิดเป็นช่วงๆ หากไม่คุ้มทุน  ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP ยังคืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 และเมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ อาจจะพิจารณาผลักดัน SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ SET

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า โรงงาน LSP เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานที่ผันผวน SCC จะใช้จุดแข็งจากการมีฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ในการโยกย้ายฐานผลิตและส่งออกในภูมิภาคได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การใช้ฐานการผลิตในเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ อีกทั้งยังเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ได้ออกบทวิเคราะห์ โดยระบุว่า SCC แนวโน้มเป็นบวกแม้จะมีความท้าทายข้างหน้า ซึ่งแม้ว่าในครึ่งแรกของปี 68 จะมีความท้าทายจากภาษีการค้าของสหรัฐที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ผู้บริหารยังคงใช้กลยุทธ์เพิ่มพอร์ตสินค้า HVA (Green products) ลดต้นทุน รักษากระแสเงินสด ปรับโครงสร้างธุรกิจ (นอกจากการปรับโครงสร้าง CAP, ธุรกิจรีไซเคิลในโคโซโว และธุรกิจในยิปซั่มและคอนกรีตในไตรมาส 2/68 จะยังมีต่อเนื่องใน 2H25) พร้อมกลับมาเปิดดำเนินการผลิตโรงงาน LSP ในเวียดนามปลายเดือน ส.ค. นี้

ในช่วง 21 วันแรกของเดือน ก.ค. ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลายชนิดขยับลงจากไตรมาส 2/68 จากราคาน้ำมันดิบโลก ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง จากปลาย มิ.ย. เราคาดว่าราคาน้ำมันจะอ่อนตัวในระยะถัดไปและต่อเนื่องถึงปี 2026 จากภาวะอุปทานส่วนเกิน ณ ระดับ Spread ปัจจุบันที่ USD360-380/ตัน (ต่ำกว่าระดับคุ้มทุนที่ประมาณ USD400/ตัน) เป็นความเสี่ยงที่บริษัทยอมรับได้ที่จะกลับมาเปิดโรงงาน LSP และจะประเมินอีกครั้งหลังผ่านไป 3 เดือน เราเห็นด้วยเพราะเป็นการใช้สินทรัพย์ที่มีความพร้อมให้เกิดประโยชน์

ในส่วนของแผนระยะยาว การลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับการใช้ก๊าซอีเทน เดินหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2027 ทำให้ LSP แข่งขันได้และธุรกิจปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวพอดี

จากผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 68 ที่ SCC มีรายได้จากการขายรวม 249,077 ล้านบาท (1.8% y-y) EBITDA 29,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น18.2% จากปีก่อน และกำไรปกติ 4,267 ล้านบาท 12.4% จากปีก่อน ดีกว่าที่เราคาดจากเงินปันผลรับที่มากกว่าคาด

ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/68 ลดลงจากไตรมาสก่อน แต่โตจากไตรมาส 3/67 ที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน 1,462 ล้านบาท เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 68 ขึ้น 11.7% เป็น 10,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.8% จากปีก่อน และปรับกำไรสุทธิขึ้นเป็น 24,237 ล้านบาท สะท้อนรายการพิเศษในไตรมาส 2/68 ทั้งนี้ ยังไม่รวมกำไรจากการขาย CAP 10.7% นอกจากนี้ เราปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2026-27 ขึ้น 3% และ 9%  ตามลำดับ โดยหลักมาจากการปรับเพิ่ม Product spread

ทั้งนี้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 220 บาทอิง SOTP โดยใช้ EV/EBITDA 7-13 เท่า (เพิ่ม Target EV/EBITDA ของ SCGC เป็น 7x จากเดิม 6x) เป้าดังกล่าวคิดเป็น Implied P/BV ปีนี้เพียง 0.7x แม้จะมีความท้าทายข้างหน้า แต่ SCC มีกลยุทธ์รับมือที่ชัดเจน และเหมาะสมสำหรับการเติบโตในระยะยาว ราคาหุ้นที่ปรับขึ้น 23% ในเวลาเพียง 1 เดือน สะท้อนผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2/68 และน่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้แล้ว

เราเชื่อว่า SCC เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ลดสัดส่วนการถือ ครอง SCC มาตลอดกว่า 7 ปี จนเหลือต่ำสุด 9.1% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นการถือครองหุ้นของต่างชาติขยับขึ้นเป็น 10% เป็นสัญญาณบวกหากต่างชาติเพิ่ม น้ำหนักการลงทุนในไทย เราคงคำแนะนำ “ซื้อ”

SCC