จำกันได้หรือไม่ว่า เมื่อในช่วงเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอที่ประกอบธุรกิจไม่เหมือนกับใคร ที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX
แล้ว “สโตนวัน” หรือ STX ทำธุรกิจอะไร ผลประกอบการเป็นอย่างไร โอกาสทางธุรกิจที่มีในอนาคตจะมากน้อยขนาดไหน เราจะพาไปหาคำตอบ
โดย บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และแร่โดโลไมต์ หรือเรียกง่ายๆก็คือเป็นเจ้าของธุรกิจเหมืองหินรายแรก และรายเดียวในตลาดหุ้นไทย
STX มีเหมืองหินที่อยู่ในการดูแลทั้งสิ้น 3 แห่งได้แก่ที่ 1.เหมืองหินแกรนิต จังหวัดชลบุรี 2.เหมืองหินปูน และแร่โดโลไมต์ จังหวัดราชบุรี และล่าสุดได้เข้าซื้อเหมืองหินปูน ที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นเหมืองหินแห่งที่สามของ STX
โดย STX มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากยอดขายหินแกรนิต จำนวน 47% และหินปูน 40% และส่วนที่เหลือเป็นแร่โดโลไมต์ 20% ซึ่งในอนาคต STX วางเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายแร่โดโลไมต์ให้เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีมาร์จิ้นที่สูงกว่า
แล้วรู้หรือไม่ว่าทำไม STX จะต้องมีเหมืองในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี หากสังเกตให้ดีจะรู้ว่าโลเคชั่นเหมืองหินของ STX นั้น ตั้งอยู่ทำเลที่จะสามารถขนส่งหินเข้ามาในหัวเมืองใหญ่ของประเทศได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการขยายตัวด้านการก่อสร้างของไทยมักจะขยายตัวในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้หิน และปูนเข้ามาก่อสร้าง ซึ่งทำให้การขนส่งหินของ STX ทำได้ง่าย และรวดเร็ว
อีกจุดที่น่าสนใจของ STX ในธุรกิจเหมืองหินก็คือ ราคาหินปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากต้นทุนคือค่าคนงาน ค่าขนส่ง ค่าน้ำมัน ซึ่งต้นทุนทุกอย่างปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จึงส่งผลให้ราคาหินก็ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้หากย้อนดูผลประกอบการของ STX จะพบว่ามีรายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีรายได้ จำนวน 371 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2567 มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 456 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 51 ล้านบาท และในไตรมาส 1/68 มีรายได้จำนวน 110 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิแล้วกว่า 41 ล้านาท
สำหรับแผนในปี 2568 ดร.จเรรัฐ ปิงคลาศัย ประธานกรรมการบริหาร STX ระบุว่า หากดูอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไทยมีโอกาสที่จะเติบโตน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา ดังนั้นจะส่งผลให้ภาคการก่อสร้างจะเติบโตได้ไม่มาก
แต่อย่างไรก็ตามโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐไม่ลดลงเลย มีแต่จะเร่งตัวขึ้น เนื่องจากทางภาครัฐมีความต้องการเร่งการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตมากขึ้นกว่าปีก่อน
ขณะที่แผนธุรกิจใน 3-5 ปีข้างหน้า ดร.จเรรัฐ เล่าว่า STX มีความต้องการที่จะเป็นผู้ผลิตหินอันดับต้นๆของประเทศไทย ซึ่งจะต้องมีจำนวนเหมืองหินให้เพิ่มมากขึ้น
โดยหลังจากที่เข้าในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วนั้นรูปแบบของการระดมทุนในด้านต่างๆจะสามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้หากบริษัทมีเหมืองหินใหม่ที่จะเข้าลงทุนในอนาคต จะสามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น โดยวางเป้าหมายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีเหมืองรวมทั้งสิ้น 5 แห่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนรู้หรือไม่ว่า STX ยังได้เดินหน้า ESG ควบคู่กับการขยายตัวทางธุรกิจ กลุ่มบริษัทได้รับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) ในปี 2567 กลุ่มบริษัทได้รับรางวัลรักษามาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Award) ประเภทเหมืองแร่และโรงโม่หิน
รวมถึงสถานประกอบการตามมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-DPIM) จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยได้รับทั้ง STX และบริษัท ราชบุรี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (บริษัทย่อย)
เรื่องราวทั้งหมดนี้คงจะพอสรุปได้ว่า STX เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ที่น่าสนใจ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนกับใคร และมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เพราะ “หิน” คือต้นน้ำของการก่อสร้าง
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
บล.บัวหลวง แนะ “ขาย” KBANK แม้เพิ่มอัตราจ่ายปันผลมากกว่า 50% หวั่นคุณภาพสินทรัพย์ลูกค้า SME
_0.jpg)
เปิดสถิติดัชนีหุ้นไทยเดือนส.ค. 5 ปีย้อนหลังส่วนมากปรับตัวขึ้น นักวิเคราะห์คาดปีนี้ไปต่อได้อีก
_0.jpg)
คาดทองแตะ 3,500 ดอลลาร์ ใน 3 เดือน เงินเฟ้อ-ภาษีศุลกากร ฉุดศก.สหรัฐฯ ดอลลาร์อ่อนหนุนทองแตะจุดสูงสุดใหม่

เจาะเบื้องหลัง STX เจ้าของธุรกิจเหมืองหิน รายเดียวในตลาดหุ้นไทย
_0.jpg)