รายงานพิเศษ : PTG เร่งขยายธุรกิจ Non Oil เพิ่มสาขาพันธุ์ไทย 600 แห่ง รับมูลค่าตลาดกาแฟ 6.5 หมื่นลบ.
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิ.ย. 2568 พบว่า “อุตสาหกรรมกาแฟไทย” ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดรับกับกระแสตลาดโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระดับโลกและประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าสูงถึง 269.27 พันล้านดอลลาร์และคาดว่าจะขยายตัวถึง 369.46 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโต เฉลี่ยต่อปี (CAGR) 5.3% จากการที่กาแฟกลายมา เป็นเครื่องดื่มประจำวัน จึงทำให้การบริโภคกาแฟ เพิ่มขึ้น
ขณะที่ คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.33%
การบริโภคกาแฟที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นยอดขายร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) และยังเป็นการสร้างรายได้ที่สำคัญของ PTG ในขณะที่ยอดขายน้ำมันปรับลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
โดยบล.ทรีนีตี้ ออกบทวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า PTG จะรายงานกำไรไตรมาส 2/68 ที่ 330 ล้านบาท ลดลง29% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาสก่อน ซึ่งสาเหตุที่ลดลงจากปีก่อน จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเร่งขยายกาแฟพันธุ์ไทย ในขณะที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน จากธุรกิจน้ำมัน ที่มี Margin ต่อลิตรปรับเพิ่มสูงขึ้น
1) คาดปริมาณขายอยู่ที่ 1.7 พันล้านลิตร Flat จากปีก่อน, เพิ่มชึ้น 3 % จากปีก่อน
2) Gross Margin ต่อลิตรคาดว่าจะปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.7 บาทต่อลิตร จากไตรมาสก่อนที่ 1.62 บาทต่อลิตร
3) ธุรกิจ Non-Oil คาดมีกำไรขั้นต้นที่ 1.5 พันล้านบาท +70% YoY, +15% QoQ ยังคงขยายตัวได้ดี จากการขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้นกว่า 1.6 พันสาขา
4) คาด SG&A เร่งตัวเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.9 พันล้านบาท +22%YoY, +8% QoQ ยังคงเร่งตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายในธุรกิจ Non-Oil
ทำให้เบื้องต้นเรายังคงประมาณการกำไรทั้งปีที่ 1.3 พันล้านบาท แต่อาจจะมี Downside จากค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาด รวมถึงปริมาณขายน้ำมันที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ดีในธุรกิจ Non-Oil มีการเติบโตดีและบริษัทมีแผนจะเร่งขยายกาแฟพันธุ์ไทยมากกว่าเดิมที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เราอาจจะมีการปรับประมาณการอีกครั้งหลังผลประกอบการและการประชุมนักวิเคราะห์ ตาม Guidance ใหม่ของบริษัท โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 11 บาท อิง Avg PER ที่ 14.5 เท่า และคงคำแนะนำ Trading Buy
ขณะที่บล.KGI ระบุว่า ได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 8% แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2569F ขึ้นอีก 8% เนื่องจากเราปรับลดสมมติฐานปริมาณยอดขายน้ำมันลง ทั้งนี้หลังจากที่ปริมาณยอดขายน้ำมันในงวด 1H68F ออกมาที่ 3,367 ล้านลิตร ( 2% จากปีก่อน)
โดยได้ปรับลดสมมติฐานปริมาณยอดขายน้ำมันลง 5% เป็น 6,800 ล้านลิตรในปีนี้ และ 7,100 ล้านลิตรในปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เราปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันของ PTG ปีนี้ขึ้นอีก 1% เป็น 1.68 บาท/ลิตร และปีหน้าขึ้นอีก 4% เป็น 1.73 บาท/ลิตร จากแนวโน้มบวกของอุตสาหกรรม
ขณะที่การตลาดน้ำมันในประเทศไทย หลังจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนกลุ่มน้ำมันพลิกจากติดลบ 1.25 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นงวด 1Q68 มาเป็นบวกที่ 9.6 พันล้านบาท ณ สิ้นงวด ไตรมาส 2/68 เรายังปรับเพิ่มประมาณการจำนวนสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่เปิดใหม่ในปี 2568F จากเดิม 450 ร้าน เป็น 600 ร้าน
ทำให้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันในปี 2568 ขึ้นอีก 8% เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท และปี 2569F ขึ้นอีก 6% เป็น 2.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันของทั้งปีนี้และปีหน้าจากเดิม 22.0% เป็น 25.3% ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2569F ขึ้นอีก 8% เป็น 1.4 พันล้านบาท
บล.KGI ระบุด้วยว่า ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายครึ่งแรกปี 69 ที่ 8.50 บาท จากเดิมที่ 8.10 บาท อิงจาก PE เท่าเดิมที่ 11.5x เพื่อสะท้อนถึง การปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2569 และประมาณการอัตราการเติบโตของกำไร ปี 2569F ที่ 27%
นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 2/68 และคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจะทยอยขยับเพิ่มขึ้น หลังจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนกลุ่มน้ำมันพลิกจากลบมาเป็นบวกตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.2568