"คีรี กาญจนพาสน์" ตุน BTS เพียบ! พบถือครองหุ้นสูงสุด 11 ปี "กวิน" ตามรอย ถือเพิ่มเท่าตัว
จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนของพอร์ตลงทุนของ"คีรี กาญจนพาสน์"และ บุตรชายอย่าง "กวิน กาญจนพาสน์" ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS โดย ณ วันที่ 19 มิ.ย. 2568 พบว่า ทั้งพ่อ-ลูก ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นอย่างน่าสนใจ
ทั้งนี้ "คีรี กาญจนพาสน์" ล่าสุดถือหุ้นจำนวน 5,107,061,418 หุ้นคิดเป็น31.73% จากเดิมถือครอง 4,160,394,752 หุ้นคิดเป็น 31.60% ขณะที่ "กวิน กาญจนพาสน์" ถือหุ้นจำนวน 1,797,135,829 หุ้นคิดเป็น 11.17% จากเดิมที่ถือครอง 783,002,495 หุ้นคิดเป็น 5.95%ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองจากปีก่อนเท่าตัว
จากข้อมูลข้างต้นในส่วนของ "คีรี กาญจนพาสน์" จะเห็นว่า การถือครองหุ้นในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงสูดในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา ดังนี้
ปี2568 ถือครอง 5,107,061,418 หุ้น คิดเป็น 31.73 %
ปี2567 ถือครอง 4,160,394,752 หุ้น คิดเป็น 31.6 %
ปี2566 ถือครอง 2,768,383,552 หุ้น คิดเป็น 21.02 %
ปี2565 ถือครอง 2,664,383,552 หุ้น คิดเป็น 20.23 %
ปี2564 ถือครอง 2,560,441,052 หุ้น คิดเป็น 19.45 %
ปี2563 ถือครอง 2,058,441,052 หุ้น คิดเป็น 15.64 %
ปี2562 ถือครอง 3,419,441,052 หุ้น คิดเป็น 25.99 %
ปี2561 ถือครอง 2,891,164,652 หุ้น คิดเป็น 24.41 %
ปี2560 ถือครอง 3,281,164,652 หุ้น คิดเป็น 27.48 %
ปี2559 ถือครอง 3,281,164,652 หุ้น คิดเป็น 27.49 %
ปี2558 ถือครอง 3,281,164,652 หุ้น คิดเป็น 27.53 %
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นBTS ตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลง 41.97%
นอกจากนี้ ปัจจุบัน "คีรี กาญจนพาสน์" มีพอร์ตลงทุนในหุ้นประกอบด้วย
BTS 5,107,061,418 หุ้น คิดเป็น 31.73%
BTSGIF 123,703,580 หุ้น คิดเป็น 2.14%
TURTLE 26,087,588 หุ้น คิดเป็น 1.64%
ด้านบล.เคจีไอ ประเมินหุ้น BTS โดยได้แนะนำถือ ราคาเป้ามาย SOTP ปี FY69 ใหม่ที่ 5.10 บาท เนื่องจากการที่รัฐบาลมีแผนจะคุมค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพ และ ปริมณฑลไว้ที่ 20 บาทตลอดสายภายในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งตามนโยบายนี้จะไม่มีการแก้สัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า เราปรับประมาณการกำไร (รายได้, margin และ สัดส่วน SG&A/ยอดขาย) โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 231 ล้านบาทในปี FY69F และ 359 ล้านบาทในปี FY70F เรายังคงคำแนะนำถือ โดยประเมินราคาเป้ามาย SOTP ปี FY69 ใหม่ที่ 5.10 บาท จากเดิม 6.30 บาท
แนวโน้มธุรกิจที่สำคัญหลังผลประกอบการปี FY68
หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการเต็มปีออกมาแล้ว ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของ BTS มีดังนี้ :
ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย: รัฐบาลมีแผนจะคุมค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพ และ ปริมณฑลไว้ที่ 20 บาทตลอดสายภายในเดือนกันยายน 2568 โดยผู้บริหารบอกว่าหารือเชิงเทคนิคกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เรียบร้อยแล้ว โดยจะต้องมีการลงทะเบียนทั้งบัตร EMV และ Rabbit กับรัฐบาลก่อนจะเริ่มใช้มาตรการนี้ นอกจากนี้ ยังต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้ รฟม. สามารถใช้เงินอุดหนุน 8 พันล้านบาทควบคู่ไปกับการใช้ตั๋วร่วมด้วย โดยคาดว่าโครงสร้างราคาใหม่นี้จะทำให้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพู และ เหลืองเพิ่มขึ้น 30-40% ซึ่งตามนโยบายนี้จะไม่มีการแก้สัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตกลงที่จะผลักดันนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายร่วมกับรัฐบาล ในขณะที่รัฐบาลจะรับผิดชอบต้นทุนการดำเนินงาน และซ่อมบำรุง (O&M)
สัมปทานสายสีเขียวจะสิ้นสุดในปลายปี 2572: ในส่วนของรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ นั้น กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญสูงสุดกับการใช้ค่าตั๋ว 20 บาทตลอดสายกับสายสีเขียว เพราะจำนวนผู้โดยสารในสายนี้คิดเป็น 60-70% ของผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมด เราคิดว่าการต่อสัมปทานสายสีเขียวมีความเป็นไปได้น้อยลงเมื่อมีการใช้ค่าโดยสารอัตราใหม่ ดังนั้น เราจึงคิดว่ามูลค่าของรถไฟฟ้าสายสีเขียวไม่น่าจะเพิ่มขึ้นอีกในการประเมินมูลค่าของบริษัทหลังปี 2572 ซึ่งจะทำให้กองทุน BTSGIF หมดอายุลงไปด้วยตามสัญญาสัมปทานหลัก สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือของ กทม. นั้น สภากรุงเทพฯ จะมีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีที่สองของ กทม. ในส่วนของหนี้คงค้าง 1.2 หมื่นล้านบาทจากการดำเนินงานและ ซ่อมบำรุง (O&M) ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ยังอาจจะมีคดีในส่วนของงาน O&M ที่ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาลอีก 1.9 หมื่นล้านบาทด้วย
เป้ารายได้ปี FY69: BTS ตั้งเป้ารายได้ปี FY69F ที่ 2.85 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการของเรา 8% ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ที่สูงขึ้นมากในปี FY68 เกิดจากการปรับโครงสร้างกลุ่มโดยถือหุ้น RABBIT กับ ROCTEC เพิ่มขึ้นเป็น 65.4% และ 63.2% ตามลำดับ ซึ่งกลายเป็นบริษัทย่อยของ BTS
คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะพลิกเป็นบวกได้ในปี FY69F และ FY70F
เราปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักเป็น 231 ล้านบาทในปี FY69F และ 359 ล้านบาทในปี FY70F โดยมีผลขาดทุนสูงกว่าคาดการณ์เดิมของรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง (Figure 2) โดยเราได้ปรับสมมติฐานดังต่อไปนี้ i) ปรับเพิ่มประมาณการยอดขายในปี FY69F และ FY70F ขึ้น ii) ปรับลด margin ปี FY69F และ FY70F ลง 3.3-3.7ppts และ iii) ปรับเพิ่มสัดส่วน SG&A/ยอดขายปี FY69F ลง 6.5ppts และ ปี FY70F ลง 3.5ppts
Valuation & action : เรายังคงคำแนะนำถือ โดยประเมินราคาเป้ามาย SOTP ปี FY69 (เมษายน 2568-มีนาคม 2569) ใหม่ที่ 5.10 บาท จากเดิม 6.30 บาท เนื่องจากอายุสัมปทานคงเหลือสายสีเขียวที่ลดลงเหลือ 4.5 ปี