Wealth Sharing

พรีวิวงบไตรมาส 2 2 หุ้นอาหารสัตว์เลี้ยง


21 กรกฎาคม 2568

หากพูดถึงกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตได้ดีตลอดช่วงที่ผ่านมา ก็คงไม่พ้นเกี่ยวกับภาคการส่งออกโดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความต้องการในตลาดโลกค่อนข้างสูง แต่ยามที่มาตรภาษีของสหรัฐฯยังเป็นแรงกดดัน กลุ่มดังกล่าวจะเติบโตได้หรือไม่ ทางสำนักข่าว Share2Trade จะพาไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน

2 หุ้นอาหารสัตว์เลี้ยง_WS (เว็บ) copy.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป เว้นแต่จะมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงไทยในระยะสั้น และมีมุมมองบวกในระยะยาว

โดยภาษีศุลกากรฉุดราคาไม่ใช่ปริมาณ เนื่องจากอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ซื้อจึงใช้วิธีหันมาซื้อสินค้าที่ราคาคุ้มค่า (large pack/private labels) ผลกระทบจากคู่แข่งอย่างเวียดนามมีจำกัด แม้ตอนนี้ไทยดูเหมือนจะเสียเปรียบอัตราภาษีศุลกากร แต่เนื่องจากการสร้างโรงงานใหม่ที่ผ่านการตรวจสอบขั้นตอนตามมาตรฐานสหรัฐ ต้องใช้เวลา 2-3 ปีทำให้แบรนด์ระดับโลกต้องพึ่งพาผู้ผลิตOEM ของไทยต่อไป

ทั้งนี้ การเติบโตครั้งใหญ่ของอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกจะเริ่มตั้งแต่ปี 2570 จากจำนวนสัตว์เลี้ยงสูงอายุที่เพิ่มขึ้นมาก การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากช่วงโควิด ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะเข้าสู่ภาวะสูงอายุตั้งแต่ปี 2570 ซึ่งจะกระตุ้นอุปสงค์อาหารเปียกระดับพรีเมียม ส่งผลดีต่อ OEM ไทยเพราะโรงงานได้มาตรฐานระดับโลกและมีกำลังการผลิตมากกว่าเวียดนามหลายเท่า การทำ R&D ร่วมกันมาทำให้การเปลี่ยนเจ้าผลิตเป็นไปได้ยาก แม้ว่าภาษีศุลกากรจะกดดันอัตรากำไรในระยะสั้น แต่คาดว่าสัดส่วนการขายอาหารเปียกพรีเมียมที่มีมาร์จิ้นมากขึ้นและการขยายตัวของการขายแบบ Autoship จะเป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว

โดย AAI ไตรมาส 2/2568 คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 219 ล้านบาท ลดลง 39% จากช่วงเดียวกัน และ ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยอดขายจะยังเติบโตได้ 6% จากช่วงเดียวกันเป็น 1.82 พันล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และการหันมาซื้อสินค้าที่ราคาถูกลงฉุดราคาขายเฉลี่ย (ASP) 

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลงอยู่ที่ 17.9% เทียบกับจุดสูงสุดของปีก่อนที่ 25.7% ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อรายได้ ทรงตัวที่ 5.1% คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯทรงตัวก่อนการประกาศเรื่องภาษี ขณะที่ผู้บริหารกำลังพิจารณาการส่งออกไปยุโรปเพื่อบรรเทาผลกระทบ คำสั่งซื้อล่วงหน้ายังคงปกติไปถึงเดือน ส.ค.

สำหรับ ITC ไตรมาส 2/68 คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 721 ล้านบาท ลดลง 36% จากช่วงเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า ยอดขายที่ 4.67 พันล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นไปตามการขนส่ง 33kt ที่มีการเติบโตของปริมาณการขายถูกชดเชยด้วย ASP ที่ลดลง 11% จากสัดส่วนผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่ลดลงต่ำกว่า 50% 

แต่อย่างก็ดี ด้วยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 24.2% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.9% คำสั่งซื้อจากสหภาพยุโรปแข็งแกร่ง คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ทรงตัวก่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรในอัตราใหม่

ทั้งนี้ มีมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงในระยะสั้น ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อสินค้าที่ราคาถูกลง และภาษีศุลกากรของสหรัฐฯคาดส่งผลกระทบต่อ ASP ในระยะสั้น 

แต่ในระยะยาวเรามีมุมมองเชิงบวกจากแนวโน้มสัตว์เลี้ยงสูงอายุและความสามารถในการแข่งขันของไทยจากมาตรฐานโรงงานขั้นสูงและความได้เปรียบด้านปริมาณการผลิต การมีปริมาณวัตถุดิบปลาทูน่า/ไก่ จำนวนมาก จะทำให้ทั้งราคาขายและปริมาณขายอาหารเปียกแบบพรีเมียมเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

2 หุ้นอาหารสัตว์เลี้ยง_WS (เพจ) copy.jpg