ตามที่นักลงทุนไทยได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยจะพบว่าปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาดเป็นหลักในช่วงนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องของการเมืองในประเทศ แต่นอกจากบรรยากาศการลงทุนที่โดนกดดัน ในแง่ของธุรกิจก็มีบริษัทที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังจากมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯ ไทย และ ฮุนเซน รวมถึงพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ทำให้จำนวนเสียงของพรรครัฐบาลลดลงมาอยู่ที่ 261 เสียง และพรรคฝ่ายค้านอยู่ที่ 234 เสียง ขณะที่ยังต้องติดตามท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีมติให้หัวหน้าพรรคไปพูดคุยกับนายกฯ
โดยมองเป็นลบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยยังมองเป็นกรณี base case นายกฯ จะยังบริหารงานต่อด้วยจำนวนเสียงพรรคร่วมรัฐบาลที่ลดลง ทำให้รัฐบาลบริหารต่อแบบไม่มั่นคง เพราะเสียงปริ่มน้ำและมีความเสี่ยงที่โครงการที่รัฐบาลผลักดันมาอาจสะดุด
ดังนั้น จึงมีหุ้นและอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงและอาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง (CK, STECON, SEAFCO) เบิกจ่ายงบประมาณและประมูลโครงการใหม่สะดุด
กลุ่มขนส่งระบบราง (BTS, BEM) นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทอาจล่าช้า และ BTS ได้เซนติเมนต์ลบจากโครงการ Entertainment Complex และอู่ตะเภาสะดุด (บริษัทเคยมีข่าวสนใจ Entertainment Complex)
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KTB) จะกระทบจากงบประมาณภาครัฐและโครงการลงทุนใหญ่มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของสินเชื่อและจีดีพีจะต่ำกว่าคาดได้
กลุ่มท่องเที่ยว (ERW, CENTEL)จากความไม่แน่นอนทางการเมืองจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต่ำกว่าที่เราคาดได้ และโครงการเที่ยวคนละครึ่งอาจจะถูกเลื่อนออกไปได้
กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้ากระทบการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ
กลุ่มค้าปลีก (CRC, CPALL, HMPRO) จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการท่องเที่ยวลดลง กระทบการใช้จ่าย, (DOHOME, GLOBAL) จากความล่าช้างานโครงการของรัฐและการอนุมัติงบ
และ SC, PR9, SIRI, ADVANC, STECON เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง