รายงานพิเศษ : PTG วางกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจขาลง ปรับปรุงสถานีบริการ-ขยายฐานลูกค้า ช่วยสร้างรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน
บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) อาศัยช่วงเศรษฐกิจขาลง ปรับปรุงสถานีบริการ ขยายฐานลูกค้าร้านกาแฟพันธุ์ไทย และออโต้แบคส์ สร้างรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน ย้ำรอจังหวะดัน ATLAS เข้าตลาดหุ้น ขณะที่โบรกเกอร์ยังแนะนำ “ซื้อ”
ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว การปรับตัวเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของบริษัทต่างๆ ซึ่งบมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โดยนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ รับว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ชะลอตัว และประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย การวางแผนดำเนินงานของบริษัทในด้านธุรกิจน้ำมันครึ่งปีหลังนั้น จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสถานีบริการให้มีความทันสมัยเป็นหลักมากกว่าการเปิดสถานีบริการในพื้นที่ใหม่ ๆ
ขณะที่ธุรกิจ Non-oil ยังคงเน้นร้านกาแฟพันธุ์ไทยเป็นหลัก ในการสนับสนุนกิจกรรมด้านการตลาดขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการผลักดัน ออโต้แบคส์ (Autobacs) ศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์ครบวงจร เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะทำให้มีลูกค้าออกจากศูนย์บริการรถยนต์ของค่ายต่าง ๆ มากขึ้น จึงเร่งแผนการตลาดในการรองรับ โดยทั้งสองส่วนนี้เชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนธุรกิจ Non-oil ขยับขึ้นเป็น 30% ในปลายปีนี้
ส่วนปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ระหว่าง ไทยและกัมพูชา ไม่ได้มีผลกระทบต่อธุรกิจของทาง PTG เนื่องจากทางบริษัทไม่ได้มีคู่ค้าในต่างประเทศ รวมทั้งการลงทุนในต่างประเทศ จากที่เคยศึกษามาในแต่ละประเทศจะมีบริษัทพลังงานประจำชาติอยู่แล้ว ซึ่งหากการลงทุนไม่ได้เป็นการลงทุนร่วมรัฐบาลในประเทศนั้น ๆ ก็คงไม่ตัดสินใจเข้าไปดำเนินธุรกิจ
สำหรับบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตอนนี้ยังรอดูภาวะตลาดว่าเป็นอย่างไร และมีผลกระทบต่อหุ้นเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องนี้ยังอยู่ในระหว่างการร่วมกันพิจารณา
ขณะที่ บล.กรุงศรี ออกบทวิเคราะห์ โดยระบุว่า มองแนวโน้มค่าการตลาดจะดีขึ้นในไตรมาส 2/68 และรักษาระดับได้ต่อเนื่องใน 2H25 โดยผู้บริหารคาดค่าการตลาดน้ำมันช่วงที่เหลือของปีจะอยู่เหนือกว่า ไตรมาส 1/68 (1.62 บาท/ลิตร) ที่ถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงช่วง ม.ค. 25 ได้ประโยชน์จาก กองทุนน้ำมันทยอยเป็นบวกมากขึ้น ทำให้รัฐมีแนวโน้มแทรกแซงลดลง
อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงค่าการตลาดไม่เป็นไปตามคาดหากรัฐต้องการงบประมาณเพิ่ม โดยเร่งเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันและทำให้การปรับราคาหน้าปั๊มทำได้ไม่ยืดหยุ่น ทั้งนี้ ผู้บริหารคงมุมมองค่าการตลาดปี 2025 ราว 1.7-1.8 บาท/ลิตร
มองการขยายตัวของพันธุ์ไทยอาจเร่งได้ดีกว่าเป้า โดยการขยายสาขาอาจทำได้ถึง 800-1,000 แห่ง เป้าปัจจุบันที่ตั้งไว้ 600 สาขาใน 2025 ( 2024 ขยายได้ 465 แห่ง และไตรมาส1/68 ขยายไป 129 แห่ง) ผู้บริหารมองการเร่งขยายสาขามีวัตถุประสงค์เพื่อชิง location ที่ดีที่สุดให้ได้มากที่สุด แม้ช่วงแรกอาจแบกรับค่าใช้จ่ายที่เร่งขึ้นมาเร็วกว่า จากต้องเตรียมบุคลากร แต่สุดท้ายเมื่อขยายสาขาได้ตามเป้าแล้ว รายได้จะเพิ่มขึ้นมาก โดยไตรมาส1/68 รายได้และกำไรขั้นต้นพันธุ์ไทย +113.1% และ 120% จากปีก่อน ตามลำดับ
บล.กรุงศรี ยังคงเป้า CAPEX 2568 ราว 3,000 – 4,000 ลบ. ธุรกิจ oil ยังมุ่งไปที่การปรับปรุงสาขา เพื่อยกระดับ service ส่วนพันธุ์ไทยเน้นขยายสาขาด้วยตนเอง (COCO 70-80%)
และคงมุมมองกำไร ไตรมาส2/68 ฟื้นจากไตรมาสก่อนตามค่าการตลาดน้ำามันที่ฟื้นมาเหนือ 1.7 บาท/ลิตร จากความยืดหยุ่นในการปรับราคาที่มีมากขึ้น หลังกองทุนน้ำมัน (ไม่รวม LPG) เป็นบวก ส่วน เมื่อเทียบจากปีก่อน ยังลดลงจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น คงมุมมองกำไรจะเร่งขึ้นใน 2H25F ตามค่าการตลาดฯและรายได้พันธุ์ไทยเติบโตเร่งขึ้น
จึงคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 10.5 บาท/หุ้น หากราคาหุ้นมีแรงกดดันจากความกังวล downside ของค่าการตลาดฯ เรามองเป็นโอกาส ซื้อรับการเติบโตของรายได้ +23% CAGR ใน 68-70 หนุนกำไรปกติ +24% CAGR ในช่วงเดียวกัน