3 โบรกฯ ฟันธง SET ปีนี้ “ไม่ถึงฝัน” หั่นเป้าดัชนี รับเศรษฐกิจสะดุด-ทรัมป์ป่วน
ตามที่นักลงทุนไทยหลายๆคน ได้ติดตามความเคลื่อนไหวดัชนีของตลาดหุ้นไทยในปี 2568 จะทราบดีว่าจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน(ณ วันที่ 4 มิ.ย. 68) ได้ปรับตัวลดลงมาถึง 268 จุด หรือ 19.15% จนมาอยู่ที่ระดับ 1,132 จุด ด้วยแรงกดดันที่เข้ามาทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
และด้วยความเคลื่อนไหวของดัชนีที่ปรับตัวลงมา นักวิเคราะห์หลากหลายสถาบันก็ทยอยปรับเป้าหมายของดัชนีลงมาด้วยเช่นกัน ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลดังกล่าว พร้อมความเสี่ยงที่เข้ามากระทบต่อตลาดในปีนี้
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ไว้ที่ 1,418 จุด จากเดิม 1,660 จุด โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาดปี 2567 ที่ 90 บาทต่อหุ้น ปรับลดจาก 95 บาท ตามหลักอนุรักษ์นิยมเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด รวมถึงความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันการค้าต่อราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ได้มีการปรับลดเป้าหมาย P/E เหลือ 15.7 เท่า จากเดิม 17.3 เท่า อันเนื่องมาจากภาพเม็ดเงินลงทุนภายในที่อยู่ในช่วงรอยต่อเพื่อฟื้นตัวจากโซนฐานแรงขับเคลื่อนหลัก
สำหรับตลาดในระยะถัดไปได้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7% เร่งขึ้นจากปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% การสิ้นสุดของแรงกดดันด้านสภาพคล่องภายในและการเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากโครงการ TESGX, แนวคิดโครงการออมหุ้นระยะยาว(TISA) และเม็ดเงินหวยเกษียณ
ประกอบกับนโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 89% ต่อจีดีพี (16.3ล้านล้านบาท) ผ่านมาตรการ"คุณสู้เราช่วย" และมาตรการซื้อหนี้ธนาคารโดยเน้นกลุ่มหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน1แสนบาทต่อรายซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมมูลหนี้0.89และ0.42ล้านล้านบาทตามลำดับ
การต่อยอด New S Curve โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์จากจีนที่มีสัญญาณต่อยอดมายังสหรัฐฯ, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่อนุมัติแล้วและการพัฒนา New S Curve ใหม่ๆ อาทิ ร่างพ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจรระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้พนันถูกกฎหมายและตั๋วร่วม
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้ปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด จากแรงกดดันจากเศรษฐกิจมหภาคที่มีการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในครึ่งแรกของปี 2568 จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของจีดีพีและผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ในครึ่งหลังของปี 2568
ขณะเดียวกันการเก็บภาษีศุลกากรในวงกว้างจะทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและกระตุ้น sentiment ‘risk-off’ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญ และอาจทําให้ธนาคารกลางต้องพิจารณาท่าทีในการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะมีความผันผวนสูง ซึ่งจะส่งผลทําให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นผ่านทางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจและกําไรคาดว่าจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะประเทศในเอเชีย เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากรัฐบาล และคาดว่าวงจรการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์จะชะลอตัวลง และอาจเข้าสู่วงจรขาลงเริ่มตั้งแต่ครึ่งปีหลังปี 68
ทั้งนี้ มูลค่าของตลาดกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงคาดว่าตลาดโดยรวมจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จุดโฟกัสน่าจะย้ายมาอยู่ที่การเติบโตตามปัจจัยพื้นฐาน การกระจายความเสี่ยง และธีม domestic play
สุดท้าย นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้เป้าหมายดัชนีล่วงหน้า 12 เดือนของตลาดหุ้นไทยที่1,376 จุด ถูกปรับลงมาจาก 1,386 จุด ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2568 EPS เป็น 91.58 บาทต่อหุ้น ปรับลงมาจาก 96 บาทต่อหุ้น จากต้นปี
ในด้านมูลค่าผ่าน Earnings Yield Gap บ่งชี้ว่าหุ้นไทยไม่แพง แต่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานยังไม่แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน และมีแนวโน้มถูกปรับลง สำหรับหุ้น SET100 ที่กำไรถูกปรับเพิ่มขึ้นได้แก่ PTTGC HANA AWC TTB IVL และปรับลงได้แก่ SAPPE STGT SISB ITC BGRIM