Talk of The Town

BEM แบกหนี้บาน-ดอกเบี้ยพุ่ง! ทริสฯ เชือด! หั่นเรตติ้งหุ้นกู้ โบรกฯ ลดเป้ากำไร หวั่นจ่ายดอกเบี้ยสูง


06 มิถุนายน 2568

ทริสเรทติ้ง ลดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ BEM ลงเหลือ BBB+ ฟากโบรกฯหั่นกำไรปี 2568-2570 ลง หลังบริษัทต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น กดดันกำไร 

BEM แบกหนี้บาน_ข่าวลูกค้า S2T (เว็บ)_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึง ทริสเรทติ้งลดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ไม่มีประกันที่ออกแล้ว ของ BEM ลงเหลือ BBB+ จากเดิม A- โดยให้แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ การดำเนินการครั้งนี้สะท้อนถึงระดับหนี้สินที่สูงกว่าที่ TRIS คาดไว้ด้วยสาเหตุจากการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติมและการปรับปรุงระบบของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินรวมมูลค่า 7.3 พันล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) 

รวมถึงการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่สูงกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยเพิ่มเป็น 3.3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในโครงการทางด่วนขั้นที่สองแบบสองชั้น(Double Deck Expressway) ซึ่งมีงบประมาณรวมทั้งสิ้น 3.5 หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 4–5 ปี TRIS เชื่อว่า BEM ยังคงมีความสามารถในการเพิ่มระดับหนี้สินชั่วคราวภายใต้กรอบอันดับเครดิตปัจจุบันได้อยู่บ้าง

ทั้ง อ้างอิงข้อมูลจาก ThaiBMA ส่วนต่างของ credit spread ระหว่างหุ้นกู้ระดับ A- และ BBB+ ที่มีอายุ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 0.60% โดย ณ ไตรมาส 1/2568 BEM มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้ 51% และเงินกู้จากสถาบันการเงิน 49% 

โดยคาดว่าหุ้นกู้ของ BEM ที่จะครบกำหนดและออกใหม่หลังจากนี้ จะมีอัตราดอกเบี้ย (coupon rate) เพิ่มขึ้นประมาณ 0.60% ส่วนเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน คาดว่า BEM จะสามารถเจรจากับผู้ให้กู้เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยเดิมไว้ได้ ทั้ง TRIS และประมาณการของเราคาดว่าอัตราส่วนทางการเงินของ BEM จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2573

หลังจากการชำระเงินตอบแทนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเสร็จสิ้น ซึ่งในเวลานั้น BEM คาดว่าจะมีเงินสดส่วนเกินเพิ่มขึ้น ประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับปี 2569 ซึ่งอาจทำให้อันดับเครดิตสามารถกลับไปอยู่ในระดับเดิมได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2568-2570 ลง 1%, 1.8% และ 2.8% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากส่วนต่าง credit spreads ที่เพิ่มขึ้น BEM จะต้องไถ่ถอนหุ้นกู้รวมมูลค่า 7 พันล้านบาท ในปี 2568, 8 พันล้านบาท ในปี 2569 และ 8 พันล้านบาท ในปี 2570 

โดยคาดว่า BEM จะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นประมาณ 0.6% โดยอ้างอิงจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้อายุ 5 ปี เนื่องจากหุ้นกู้ส่วนใหญ่ของ BEM มีอายุคงเหลือ (TTM) ประมาณ 5 ปี 

นอกจากนี้ ยังปรับเลื่อนแผน Capex สำหรับขบวนรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และการลงทุนในระบบ M&E ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มให้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2568 แทนที่จะเป็นปี 2571 ตามแผนเดิม เนื่องจากมีสัญญาณว่าความคืบหน้าการลงทุนเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ หนุนจากการรับรู้รายได้จากการก่อสร้างของ CK ในไตรมาส 1/2568 CK รับรู้รายได้แล้ว 20%

สำหรับขบวนรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (มีกำหนดดำเนินการระหว่างปี2567–2571) และ 12% สำหรับงานระบบ M&E ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (มีกำหนดดำเนินการระหว่างปี 2567–2573)

อย่างไรก็ดี ยังคงเแนะนำ “ซื้อ ” แต่ลดราคาเป้าหมายลง 9.1% จาก 10.73 บาท เป็น 9.75 บาท โดยเรายังชอบ BEM เนื่องจากราคาตลาดปัจจุบันยังมีอัพไซด์ แม้เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันที่ 6.89 บาท ยังมองว่า BEM แข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เนื่องจากธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้ามีความอ่อนไหวต่อจีดีพีระดับต่ำ 

นอกจากนี้ คาดว่าการเก็บค่าโดยสารราคาเดียวที่  20 บาท ในเดือนก.ย. จะช่วยบรรเทาปัจจัยเสี่ยงต่อปริมาณการจราจรและเพิ่มอัพไซด์ให้กับธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์

BEM