จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : TFG ลุ้นผลงานปี 68 นิวไฮ ตั้งเป้ารายได้โต 10-15% อานิสงส์ EU นำเข้าไก่เพิ่ม
04 มิถุนายน 2568
การส่งออกไก่สดแช่แข็งและแปรรูปี 68-69 ยังโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่มีการนำเข้าไก่ของไทยมากขึ้น หนุนผลงาน บมจ. ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) รายได้ปีนี้พุ่งทำนิวไฮโต 10-15%

Krungthai COMPASS คาดว่า ในปี 68-69 มูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป อยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 5.0%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป จะอยู่ที่ 1.17 ล้านตัน และ 1.20 ล้านตัน หรือขยายตัว 2.4%YoY และ 2.7%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่น ที่ยังขยายตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป จะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ. ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ที่ระบุว่า จากกรณีที่จีนและสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลที่เป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ที่สุดของโลกหลังพบการระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรง (HPAI) ในฟาร์มแห่งหนึ่ง โดยระงับการนำเข้าเป็นเวลา 60 วัน ส่งผลดีกับผู้ส่งออกไก่ของไทย และคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดส่งออกไก่ไปจีนและยุโรปในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
"มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 จะเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนราคาหมู ไก่ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง การบริหารจัดการด้านจัดซื้อวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือ และมีการบริหารจัดการค่าขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นอกจากนี้ผลงาน TFG ยังได้แรงหนุนจากยอดขายร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" (Retail Shop) ซึ่งถือเป็น Flagship ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนสาขา Retail Shop เพิ่มเป็น 600 แห่ง รองรับความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์หลังการพบกับผู้บริหาร TFG โดยยังแนะนำ “ซื้อ” และระบุว่า TFG ยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2025 ไว้ที่ 10–15% y-y โดยบริษัทฯ คาดว่าปริมาณขายจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2H25 โดยเฉพาะในด้านส่งออก เมื่อเร็วๆนี้ ลูกค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ได้หันมาเลือกซื้อจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น หลังมีคำสั่งระงับการนำเข้าจากบราซิลเป็นเวลา 60 วัน จากการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ส่วนราคาหมูและไก่ไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้ ผู้บริหารได้ให้เหตุผลว่าเหตุดังกล่าวเกิดจากฝนที่ตกตามฤดูกาลซึ่งอาจทำให้ราคาลดลงเพียงชั่วคราว หลังฤดูฝนราคาเนื้อสัตว์น่าจะดีดตัวกลับจากข้อจำกัดในด้านอุปทานที่มีต่อเนื่องจากการระบาดของโรคโดยเฉพาะในส่วนของไก่ซึ่งกำลังเข้าสู่จุดสูงสุดของฤดูการส่งออกซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนราคาไก่ในประเทศในช่วง 2H25
สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในช่วง 2H25 น่าจะลดลงต่อเนื่องอีก 2–3% h-h หลังบริษัทฯ ได้ล๊อคราคากากถั่วเหลืองไว้จนถึงสิ้นปี 2025
ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในช่วง 2H25 นอกจากการส่งออกไก่ (เนื้อไก่สดให้ EU) ประกอบด้วยการขยายร้านค้าปลีกซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าอยู่ที่ 600 สาขาภายในสิ้นปี 2025 (สูงขึ้นจาก 430 ใน 1Q25) TFG ยังคงรายงานตัวเลขการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เป็นบวกโดยได้ปัจจัยหนุนจากทั้งราคาเนื้อสัตว์และปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังคาดด้วยว่า จะมีรายได้อื่นอีก 300 ลบ. ในช่วง 2H25 ประกอบด้วย rebate income, ค่าเช่า และค่าโฆษณา เป็นต้น

Krungthai COMPASS คาดว่า ในปี 68-69 มูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป อยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 5.0%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป จะอยู่ที่ 1.17 ล้านตัน และ 1.20 ล้านตัน หรือขยายตัว 2.4%YoY และ 2.7%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่น ที่ยังขยายตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป จะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ. ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ที่ระบุว่า จากกรณีที่จีนและสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลที่เป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ที่สุดของโลกหลังพบการระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรง (HPAI) ในฟาร์มแห่งหนึ่ง โดยระงับการนำเข้าเป็นเวลา 60 วัน ส่งผลดีกับผู้ส่งออกไก่ของไทย และคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดส่งออกไก่ไปจีนและยุโรปในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
"มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 จะเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนราคาหมู ไก่ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง การบริหารจัดการด้านจัดซื้อวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือ และมีการบริหารจัดการค่าขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นอกจากนี้ผลงาน TFG ยังได้แรงหนุนจากยอดขายร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" (Retail Shop) ซึ่งถือเป็น Flagship ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนสาขา Retail Shop เพิ่มเป็น 600 แห่ง รองรับความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์หลังการพบกับผู้บริหาร TFG โดยยังแนะนำ “ซื้อ” และระบุว่า TFG ยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2025 ไว้ที่ 10–15% y-y โดยบริษัทฯ คาดว่าปริมาณขายจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2H25 โดยเฉพาะในด้านส่งออก เมื่อเร็วๆนี้ ลูกค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ได้หันมาเลือกซื้อจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น หลังมีคำสั่งระงับการนำเข้าจากบราซิลเป็นเวลา 60 วัน จากการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ส่วนราคาหมูและไก่ไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้ ผู้บริหารได้ให้เหตุผลว่าเหตุดังกล่าวเกิดจากฝนที่ตกตามฤดูกาลซึ่งอาจทำให้ราคาลดลงเพียงชั่วคราว หลังฤดูฝนราคาเนื้อสัตว์น่าจะดีดตัวกลับจากข้อจำกัดในด้านอุปทานที่มีต่อเนื่องจากการระบาดของโรคโดยเฉพาะในส่วนของไก่ซึ่งกำลังเข้าสู่จุดสูงสุดของฤดูการส่งออกซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนราคาไก่ในประเทศในช่วง 2H25
สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในช่วง 2H25 น่าจะลดลงต่อเนื่องอีก 2–3% h-h หลังบริษัทฯ ได้ล๊อคราคากากถั่วเหลืองไว้จนถึงสิ้นปี 2025
ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในช่วง 2H25 นอกจากการส่งออกไก่ (เนื้อไก่สดให้ EU) ประกอบด้วยการขยายร้านค้าปลีกซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าอยู่ที่ 600 สาขาภายในสิ้นปี 2025 (สูงขึ้นจาก 430 ใน 1Q25) TFG ยังคงรายงานตัวเลขการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เป็นบวกโดยได้ปัจจัยหนุนจากทั้งราคาเนื้อสัตว์และปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังคาดด้วยว่า จะมีรายได้อื่นอีก 300 ลบ. ในช่วง 2H25 ประกอบด้วย rebate income, ค่าเช่า และค่าโฆษณา เป็นต้น