Talk of The Town

โบรกฯ คาด GULF เตรียมซื้อ หุ้น KBANK เพิ่มอีก ดันสัดส่วนแตะ 10% ลุ้นปี 69 รับเงินปันผลอีกกว่า 2 พันลบ.


19 พฤษภาคม 2568

จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แสดงแบบรายงานการได้มาหลักทรัพย์ของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ค.2568 GULF รายงานการได้มาของหุ้น KBANK จำนวน 12,510,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.52%

โบรกฯ คาด GULF เตรียมซื้อ_S2T (เว็บ)_0.jpg

ดังนั้นจึงส่งผลให้ภายหลังจากการทำรายการดังกล่าว GULF มีสัดส่วนการถือครองหุ้นอยู่ใน KBANK จำนวน  123,926,100 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.23% 

ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มองว่า การถือหุ้น 5.2% ใน KBANK เป็นบวกต่อกำไร GULF ราว 2-4% มองว่ามีโอกาสที่ GULF จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 10% และมีโอกาสที่ KBANK จะเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลขึ้นจากปัจจุบันที่ 50%

GULF รายงานต่อ SET เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2025) ว่าบริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ขึ้นเป็น 5.23% (รวมถือหุ้น 123.9 ล้านหุ้น) เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 68 จากที่มีการรายงานการถือหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 3.49% ของหุ้นทั้งหมดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 68 ทั้งนี้ GULF มีการสื่อสารออกมาในช่วงก่อนหน้าว่าการทยอยซื้อหุ้น KBANK ของบริษัทนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ไตรมาส 4/67

โดยประเมินว่าราคาซื้อหุ้นเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ราว 150-155 บาทต่อหุ้น หรือเทียบเป็นจำนวนเงินการลงทุนจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 1.86-1.92 หมื่นล้านบาท

หากคำนวณจากต้นทุนการกู้ยืมเงินเฉลี่ยของ GULF ที่ 3% จะได้ว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับการลงทุนนี้จะอยู่ที่ราว 576 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับการจ่ายเงินปันผลของ KBANK ทั้งจากการจ่ายเงินปันผลประจำปี 8.0 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลพิเศษอีก 2.5 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้คำนวณได้ว่า GULF จะได้รับเงินปันผลจาก KBANK ในปีนี้ 971 ล้านบาท และจะได้ว่าการลงทุนนี้จะได้สร้างกำไรส่วนเพิ่มสุทธิให้ GULF ราว 440 ล้านบาท ในปี 2568 หรือราว 1.7% ของประมาณการกำไรเบื้องต้น ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท

จากสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้นจะได้ว่าปัจจุบัน GULF และ KBANK นั้นเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งจะทำให้กฏ Solo Consolidation และการกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limit) ถูกบังคับใช้ที่ไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของ KBANK หรือไม่เกิน 25% ของเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินทั้งหมดของ GULF

ขณะเดียวกัน เชื่อว่าปัจจุบัน KBANK เป็นหนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่ของ GULF โดยมียอดการให้สินเชื่ออยู่ที่ราว 6.0 หมื่นลบ. และคาดว่า GULF จะต้องลดยอดสินเชื่อการกู้ยืมจาก KBANK ลงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ดังกล่าว โดยเราประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของ KBANK เพียงเล็กน้อยที่ราว 2%

ทั้งนี้ มองว่ามีโอกาสที่ GULF จะเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน KBANK ขึ้นอีก โดยหากอิงจากกฏเกณฑ์ปัจจุบันของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น GULF จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนขึ้นได้เป็น 10% โดยไม่ต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย

GULF สื่อสารมาก่อนหน้านี้ว่า เงินปันผลจาก KBANK เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเข้าลงทุนนี้ ซึ่งหากมองจากเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของ KBANK ที่สูงถึง 18% มองว่ามีโอกาสที่อัตราการจ่ายเงินปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% แต่แม้มองว่ามี upside ต่อประมาณการเงินปันผลของฝ่ายวิจัย จึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” KBANK ด้วยราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 159.5 บาท

เมื่อคำนวณจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 50-80% จะได้ว่า KBANK มีโอกาสจ่ายเงินปันผลอยู่ในช่วง 10-16 บาทต่อหุ้นในปี 2569 หรือเทียบเป็นรายได้เงินปันผลที่ GULF จะได้รับที่ 1.2-2.0 พันล้านบาท ในปี 2569 จากสัดส่วนการถือหุ้นที่รายงานมานี้

ดังนั้นประเมินกำไรส่วนเพิ่มสุทธิจากรายได้เงินผลดังกล่าวอยู่ที่ 0.5-1.2 พันล้านบาท หรือราว 1.6-3.7% บนประมาณการกำไรเบื้องต้นสำหรับ GULF ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้ทำบทวิเคราะห์ GULF ออกมาอย่างเป็นทางการ