นับว่าเป็นประเด็นที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง กับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แต่สถานการณ์ล่าสุดที่สหรัฐฯ ได้เริ่มเดินหน้าเจรจากับราว 20 ประเทศ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ก็ได้เจรจากับประเทศจีน พร้อมกับบรรลุข้อตกลงร่วมกัน
โดยทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตอบรับเชิงบวกกับกระแสข่าวข้างต้น ซึ่งสำหรับรัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอ เพื่อเจรจาต่อรองมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างนี้รอการนัดหมายจากสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ดีจากโทนข่าวเชิงบวกจะหนุนหุ้นไทยมากน้อยเพียงใด ทางเราก็ได้ยกมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่น่าสนใจมาแบ่งปันกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้มุมมองว่า สหรัฐฯและจีนต่างบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกัน โดยจะระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งในระหว่างนี้จีนจะลดภาษีนําเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเหลือ 10% จากเดิม 125% ขณะที่สหรัฐฯจะปรับลดภาษีนําเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% จากเดิม 145%
ดังนั้น ประเมินว่าข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อประเทศสหรัฐฯโดยตรง จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ลดลง ซึ่งงสหรัฐฯถือเป็นประเทศที่เราเคยประเมินว่าจะเสียประโยชน์มากที่สุด หากมีการเก็บภาษีในระดับรุนแรงต่างๆก่อนหน้านี้
ส่วนในแง่ของผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์นั้น มองปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลงมามากที่สุด รองลงมาจะได้แก่ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่นยุโรปและญี่ปุ่น เป็นต้น เนื่องจากเป็นตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบรองลงมา หากนับจากวันที่ 25 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหุ้นโลกทําจุดสูงสุด ระหว่างช่วงที่สหรัฐฯมีการเรียกเก็บภาษี Tariff จากจีน 20% ในวันที่ 4 มีนาคม และวัน Liberation day ที่ 2 เมษายนที่ สหรัฐฯประกาศ Reciprocal tariff ทบเพิ่มกับจีนอีก 34%
พร้อมกันนี้ อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าจะได้เห็นในระยะสั้น นอกเหนือจากการ Rally ขึ้นมาของหุ้นสหรัฐฯแล้ว น่าจะเป็นการกลับมาปรับตัวที่ดีอีกครั้งของค่าเงินดอลลาร์ ที่นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นไปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มองการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นนี้
โดยย่อมส่งผลกดดันต่อสินทรัพย์โภคภัณฑ์ปลอดภัย เช่น ทองคํา สกุลเงินต่างๆ ในเอเชีย รวมทั้งเงินบาทและทิศทางของนักลงทุนต่างชาติในตลาดกำลังพัฒนาได้ ซึ่งก็จะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทําให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัว Underperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงนี้
แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของรายอุตสาหกรรมนั้น คาดจะมีกลุ่มหุ้นไทยบางกลุ่มที่สามารถปรับตัว Rally รับข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในระยะสั้น ได้แก่
1.กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากภาคการส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ DELTA, CCET, KCE, HANA
2.กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้น ได้แก่ IVL, PTTGC, SCC, SCGP
3.กลุ่ม Oil & Gas ที่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ได้แก่ PTTEP, TOP, BCP, SPRC เป็นต้น
ทั้งนี้ ในทางกลับกัน มองกลุ่มหุ้นที่อาจถูกขายทํากําไรระยะสั้น ได้แก่ กลุ่ม Defensive ที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ต่ำ, ราคาน้ำมันลง, และเงินบาทแข็งค่า ในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า รวมไปถึงกลุ่ม Bond-linked อื่น เช่น กองรีทและกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่ม Rate-sensitive อย่างไฟแนนซ์ เป็นต้น