Talk of The Town

ปิดฉาก “KEX” ในตลาดหุ้น หลังผู้ถือหุ้นใหญ่ทำเทนเดอร์ 1.50 บาท เตรียมเพิกถอนการเป็นบริษัทจดทะเบียน


02 พฤษภาคม 2568

น่าสนใจสำหรับบริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2568 มีมติอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) 

ปิดฉาก “KEX”  ในตลาดหุ้น_S2T (เว็บ)_0.jpg

ทั้งนี้สืบเนื่องจากที่บริษัทฯ ได้รับ หนังสือแสดงเจตนา ฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2568 จากบริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (“SFTH”) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ (ณ วันที่ 7 มีนาคม 2568 SFTH ถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวนทั้งสิ้น 2,853,952,489 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 81.43% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ) 

โดยตามหนังสือดังกล่าว SFTH เสนอให้บริษัทฯ เพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยสมัครใจ และแจ้งความประสงค์ที่จะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ไม่ได้ถือโดย SFTH ซึ่งรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 651,017,806 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.57% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของ บริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาเสนอซื้อหุ้นที่ราคา 1.50 บาทต่อหุ้น 

อย่างไรก็ตามราคาเสนอซื้อข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากมีเหตุการณ์หรือการกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุหรืออาจเป็นเหตุให้เกิดความ เสียหายอย่างร้ายแรงต่อฐานะหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ หรือเหตุอื่นใดซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนด ราคาเสนอซื้อ หรือเหตุอื่นใดตามที่กำหนดในประกาศที่ ทจ. 12/2554

โดยการกำหนดราคาเสนอซื้อสุดท้ายจะ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของประกาศที่ ทจ. 12/2554 อย่างไรก็ดี  ภายหลังการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ จะยังมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และจะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับต่อไป

สำหรับ KEX เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อ 24 ธ.ค. 2563 ด้วยราคา IPO ที่ระดับกว่า 28 บาท โดยในช่วงนั้นถือเป็นอีกหนึ่งหุ้น IPO สุดฮอต เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 73 บาทในวันแรกที่เข้าเทรด

แต่หลังจากนั้นราคาหุ้นค่อนข้างผันผวน โดยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นหุ้นราคาต่ำบาท ในเวลาเพียงแค่ 4 ปีเศษๆ และหากเทียบกับราคาสูงสุดที่ระดับ 73 บาท กับราคาปิดวันที่ 30 เม.ย.68 ที่ 1.23 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นหายไปกว่า 98%

ซึ่งถือเป็นในทิศทางเดียวกันกับผลประกอบการที่นับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นกำไรสุทธิลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2563 ที่เป็นปีแรกเข้าเทรด มีกำไรสูงถึง 1,405.03 ล้านบาท

แต่หลังจากนั้นปี 2564 มีกำไรเพียง 46.92 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2565-2567 ผลประกอบการถือว่าแย่พอสมควร เพราะมีผลขาดทุนจำนวนมาก โดยปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 3,880.64 ล้านบาท และล่าสุดปี 2567 ขาดทุนสูงถึง 5,911.32 ล้านบาท

KEX