จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : TEGH ผลงานปีนี้โดดเด่น ราคายางพุ่ง-พร้อมรับเกณฑ์ EUDR


02 เมษายน 2567

บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH)  ปีนี้ผลงานโดดเด่น หลังราคายางพาราพุ่งทำสถิติตสูงสุดในรอบ 7 ปี  และบริษัทยังมีความพร้อมรับมือกับเกณฑ์ EUDR ของสหภาพยุโรป 

รายงานพิเศษ TEGH ผลงานปีนี้โดดเด่น.jpg

ปีนี้นับเป็นปีที่ดีของอุตสาหกรรมยางพารา หลังจากที่ราคายางพุ่งทะลุ 90 บาท/กิโลกรัม สูงสุดในรอบ 7 ปี ไปในช่วงที่ผ่านมา  นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ระบุว่า ราคายางในขณะนี้ยังอยู่ในแนวระดับที่ดี อยู่ในเกณฑ์กว่า 80 บาท/กิโลกรัม แม้ราคามีการปรับตัวลงบ้างเล็กน้อย แต่ราคาน่าจะยังมีเสถียรภาพ ในระดับที่เกษตรกรพอใจ

ราคายางมีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลที่ผลผลิตออกมาไม่มาก เพราะอากาศแล้ง และเป็นช่วงผลัดใบ ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นเรื่องกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR) ของสหภาพยุโรป ที่จะบังคับใช้ช่วงสิ้นปีนี้ ทำให้หลายคนมีการเตรียมตัวเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว ทำให้ตลาดหรือสินค้าจากประเทศใดซึ่งมีความพร้อมมีความน่าสนใจมากขึ้น

"ในช่วงก่อนหน้านี้ยางมีความต้องการสูง ราคาจึงขึ้นไป ตอนนี้ราคาลงเล็กน้อยเป็นการพักฐานหลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นมาเร็วไปเล็กน้อย โดยราคายางไปในทิศทางเดียวกับราคายางโลก แต่ของไทยจะสูงกว่าเล็กน้อย เพราะไทยมีความพร้อมเรื่อง EUDR มากกว่าประเทศอื่น บริษัทยางล้อ หรือผู้ที่จะต้องนำเข้ายางไปยังประเทศฝั่งยุโรป เลยมีความสนใจยางจากไทยมากกว่าประเทศอื่น จึงมีการย้ายฐานความต้องการกลับมาที่ไทยมากขึ้น" นายณกรณ์ กล่าว    

สำหรับปัญหาราคายางในขณะนี้ คือโรคระบาดที่พัดมาจากต่างประเทศ และประเด็นเรื่องการเพิ่มมูลค่าของยางให้มากขึ้น ส่วนปัญหายางผ่านแดนเริ่มลดลงแล้ว เพราะรัฐบาลมีนโยบายห้ามนำเข้า

ราคายางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลดีต่อธุรกิจของ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH)  ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจร ที่นำพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการผลิต “สินีนุช โกกนุทาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 มีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากปี 2566 โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่ง มีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มียอดขายยางแท่ง 197,000 ตัน

ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีแนวโน้มดีขึ้นเช่นเดียวกัน หลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิต ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และจะติดตั้งหม้อนึ่งปาล์ม (Sterilizer) เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2569 ขณะที่ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ จะรับรู้รายได้จากการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพเฟสที่ 1 ได้ภายในไตรมาสแรก และคาดว่าเริ่ม COD โครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพเฟสที่ 2 ได้ในปีนี้

ขณะเดียวกัน ยังได้รับผลเชิงบวกจากการบังคับใช้กฎหมาย EUDR เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อม และลูกค้าให้ความสนใจขอเจรจาทำสัญญาซื้อขายยางแท่งเกรด EUDR แล้วทั้งในโซนยุโรปและเอเชีย ซึ่งจะเริ่มส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 นี้ และคาดว่ามีโอกาสที่จะผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เติบโตก้าวกระโดดในอนาคต

"ผลการดำเนินงานปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะยางแท่งที่ยอดขายมีโอกาสทำ ออล ไทม์ ไฮ โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว และอุตสาหกรรมยางล้อเติบโตในทิศทางที่ดี ทำให้ราคาขายยางแท่งปรับตัวดีขึ้น บวกกับความต้องการสินค้าจากยุโรป และจีน รวมถึงขยายตลาดไปยังประเทศอินเดียได้มากขึ้น ที่สำคัญคือได้รับผลเชิงบวกจากการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ที่เราได้มีการเจรจาทำสัญญาซื้อขายยางแท่งเกรด EUDR แล้วทั้งในโซนยุโรปและเอเชีย ซึ่งจะเริ่มส่งมอบสินค้าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 นี้ด้วย" นางสาวสินีนุช กล่าว

นอกจากแผนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เติบโต สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุน ควบคู่กับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573