บล.บัวหลวงระบุว่า เราคาดกำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร 1Q24 เท่ากับ 5.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY (NIM สูงขึ้น) และ 20% QoQ (การตั้งสำรองหนี้ฯ และค่าใช้ดำเนินงานลดลง) โดยเราคาดธนาคารที่จะรายงานกำไรเติบโตได้ดี YoY นำโดย TTB, KTB, BBL และ KBANK ขณะที่คาดธนาคารที่จะรายงานกำไรสุทธิ 1Q24 ลดลง YoY นำโดย KKP และ SCB ส่วน TISCO คาดจะรายงานกำไรค่อนข้างทรงตัว YoY

เราคาดกำไรสุทธิ 2Q24 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% YoY (ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้นและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนลดลง) และ 3% QoQ (NIM อ่อนตัวลง) โดยเราคาดธนาคารที่จะรายงานกำไรลดลง YoY นำโดย KKP, SCB และ TISCO
Fundamental View : Top picks ของกลุ่มธนาคาร เราเลือก KTB และ KBANK
บล.ฟินันเซียไซรัส คาดกำไรสุทธิของ ธ.พ.7 แห่งที่ศึกษาเท่ากับ 5.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ถึง 18.6% q-q และ 1.1% y-y หนุนด้วย 1) การลดลงของค่าใช้จ่ายดำเนินงานหลังพ้นช่วงฤดูกาล และ 2) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ (ECL) และ credit costs ทำให้ช่วยชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย non-NII ที่คาดหดตัวลง และรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) ที่ยังค่อนข้างทรงตัวในงวดนี้ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์สินเชื่อที่คาดหดตัว 0.3% q-q (แต่ยังเพิ่มขึ้น 0.4% y-y) และคาด NIM ยังบวกได้เล็กน้อย 2bp มาที่ 3.62%
เราคาด ธ.พ.ส่วนใหญ่จะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิ 1Q24 q-q ยกเว้น TISCO ที่คาดหดตัวเล็กน้อย โดย KTB และ KKP จะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นสุด q-q (พลิกจากที่แย่สุดใน 4Q23 ซึ่งการเติบโตเป็นผลมาจากฐานกำไรที่ลงไปต่ำมากใน 4Q23) ขณะที่การเปลี่ยนแปลง y-y เราคาด ธ.พ.ส่วนใหญ่แสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงขึ้น ยกเว้น KKP (ผลกระทบจากคาดการณ์การบันทึกผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่ระดับสูงต่อเนื่อง) และ TISCO (คาด ECL ไต่ระดับสูงขึ้น) ที่คาดกำไรหดตัวลง สวนทางกับ TTP คาดกำไรฟื้นตัวเด่นสุดเมื่อเทียบกับ 1Q23
ภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นปัจจัยกดดันหลักของกลุ่มฯ อย่างต่อเนื่องอีกใน 1Q24 แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้ โดยคาดยังเห็นการเพิ่มขึ้นของ NPL รายใหม่ๆ จากกลุ่มสินเชื่อ SME และรายย่อยที่เป็นปัญหาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ภายหลังหมดมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. ตั้งแต่สิ้นปี 2023 นอกจากนี้ กรณีของสินเชื่อรายใหญ่ ITD ธ.พ.ส่วนใหญ่ได้จัดชั้นสินเชื่อรายนี้เป็นสินเชื่อ stage 2 แล้ว พร้อมกันสำรองส่วนเกินเผื่อไว้ด้วย น่าจะช่วยลดความกังวลต่อประเด็นนี้ไปได้มาก สำหรับคาดการณ์ NPL ratio ณ สิ้น 1Q24 ขึ้นมาเล็กน้อยที่ 3.61% credit costs เท่ากับ 157bp ลดลงจาก 178bp ใน 4Q23 ทำให้คาดการณ์ coverage ratio เพิ่มขึ้นมาที่ 194% จาก 189% ใน 4Q23
คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 เราประเมินว่าจะหดตัวลง 2% y-y และกลับมาเติบโตเฉลี่ยราว 5% p.a. ในปี 2025-26 ภายใต้สมมติฐานที่ conservative และยึด guidance ปี 2024 ของ ธ.พ.ส่วนใหญ่ที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่ประเมินไว้ 2.7% y-y NIM ทรงตัวที่ราว 3.41% และคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมฯ เติบโต 2% y-y
จากภาพรวมที่กล่าวมา ทำให้เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม bank ที่น้อยกว่าตลาด โดยเลือก TTB (TP@THB2.19) จากปัจจัยบวกเฉพาะตัวเรื่องคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024-26 ที่เติบโตโดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ จากการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คงเหลือกว่า 1.50 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ เรายังชอบ KTB (TP@THB19.90) จากความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดลง อีกทั้งราคาหุ้นปรับฐานไปมากสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปมากแล้ว และยังมีปันผลจูงใจกว่า 5% p.a.

เราคาดกำไรสุทธิ 2Q24 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% YoY (ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้นและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนลดลง) และ 3% QoQ (NIM อ่อนตัวลง) โดยเราคาดธนาคารที่จะรายงานกำไรลดลง YoY นำโดย KKP, SCB และ TISCO
Fundamental View : Top picks ของกลุ่มธนาคาร เราเลือก KTB และ KBANK
บล.ฟินันเซียไซรัส คาดกำไรสุทธิของ ธ.พ.7 แห่งที่ศึกษาเท่ากับ 5.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ถึง 18.6% q-q และ 1.1% y-y หนุนด้วย 1) การลดลงของค่าใช้จ่ายดำเนินงานหลังพ้นช่วงฤดูกาล และ 2) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ (ECL) และ credit costs ทำให้ช่วยชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย non-NII ที่คาดหดตัวลง และรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) ที่ยังค่อนข้างทรงตัวในงวดนี้ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์สินเชื่อที่คาดหดตัว 0.3% q-q (แต่ยังเพิ่มขึ้น 0.4% y-y) และคาด NIM ยังบวกได้เล็กน้อย 2bp มาที่ 3.62%
เราคาด ธ.พ.ส่วนใหญ่จะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิ 1Q24 q-q ยกเว้น TISCO ที่คาดหดตัวเล็กน้อย โดย KTB และ KKP จะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นสุด q-q (พลิกจากที่แย่สุดใน 4Q23 ซึ่งการเติบโตเป็นผลมาจากฐานกำไรที่ลงไปต่ำมากใน 4Q23) ขณะที่การเปลี่ยนแปลง y-y เราคาด ธ.พ.ส่วนใหญ่แสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงขึ้น ยกเว้น KKP (ผลกระทบจากคาดการณ์การบันทึกผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่ระดับสูงต่อเนื่อง) และ TISCO (คาด ECL ไต่ระดับสูงขึ้น) ที่คาดกำไรหดตัวลง สวนทางกับ TTP คาดกำไรฟื้นตัวเด่นสุดเมื่อเทียบกับ 1Q23
ภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นปัจจัยกดดันหลักของกลุ่มฯ อย่างต่อเนื่องอีกใน 1Q24 แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้ โดยคาดยังเห็นการเพิ่มขึ้นของ NPL รายใหม่ๆ จากกลุ่มสินเชื่อ SME และรายย่อยที่เป็นปัญหาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ภายหลังหมดมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. ตั้งแต่สิ้นปี 2023 นอกจากนี้ กรณีของสินเชื่อรายใหญ่ ITD ธ.พ.ส่วนใหญ่ได้จัดชั้นสินเชื่อรายนี้เป็นสินเชื่อ stage 2 แล้ว พร้อมกันสำรองส่วนเกินเผื่อไว้ด้วย น่าจะช่วยลดความกังวลต่อประเด็นนี้ไปได้มาก สำหรับคาดการณ์ NPL ratio ณ สิ้น 1Q24 ขึ้นมาเล็กน้อยที่ 3.61% credit costs เท่ากับ 157bp ลดลงจาก 178bp ใน 4Q23 ทำให้คาดการณ์ coverage ratio เพิ่มขึ้นมาที่ 194% จาก 189% ใน 4Q23
คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 เราประเมินว่าจะหดตัวลง 2% y-y และกลับมาเติบโตเฉลี่ยราว 5% p.a. ในปี 2025-26 ภายใต้สมมติฐานที่ conservative และยึด guidance ปี 2024 ของ ธ.พ.ส่วนใหญ่ที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่ประเมินไว้ 2.7% y-y NIM ทรงตัวที่ราว 3.41% และคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมฯ เติบโต 2% y-y
จากภาพรวมที่กล่าวมา ทำให้เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม bank ที่น้อยกว่าตลาด โดยเลือก TTB (TP@THB2.19) จากปัจจัยบวกเฉพาะตัวเรื่องคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024-26 ที่เติบโตโดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ จากการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คงเหลือกว่า 1.50 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ เรายังชอบ KTB (TP@THB19.90) จากความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดลง อีกทั้งราคาหุ้นปรับฐานไปมากสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปมากแล้ว และยังมีปันผลจูงใจกว่า 5% p.a.
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง