จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : การจ้างงานดีขึ้นต่อเนื่อง หนุนตลาดอสังหาฯระดับกลาง


30 พฤศจิกายน 2566
สถานการณ์การจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  นับเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะบมจ.พรีบิลท์ (PREB) ที่ชำนาญทั้ง งานรับเหมาก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 

รายงานพิเศษ การจ้างงานดีขึ้นต่อเนื่อง หนุ.jpg

สภาพัฒน์รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/66  โดยนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ระบุว่า สถานการณ์ด้านแรงงานในไตรมาส 3/66 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1.3% จากการขยายตัวของการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ 2.0%  ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 1.0% โดยเฉพาะสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวกว่า 8.3% ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีก่อน เช่นเดียวกับสาขาการก่อสร้าง และสาขาการขนส่งและเก็บสินค้า ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.9% และ 2.1% ตามลำดับ
          
ส่วนสาขาการผลิต การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น 0.6% โดยเป็นผลจากการผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม โลหะขั้นมูลฐาน แต่สาขาการผลิตเพื่อส่งออกในหลายสาขา มีแนวโน้มจ้างงานลดลง ในส่วนของชั่วโมงการทำงานลดลงเล็กน้อย โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 42.4 และ 46.1 ชั่วโมง/สัปดาห์ จากจำนวนผู้ทำงานล่วงเวลาที่ลดลง 2.0% ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานที่เพิ่มขึ้น 24.9% ในส่วนของอัตราการว่างงาน อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยลดลงมาอยู่ที่ 0.99% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.01 แสนคน
การจ้างงานที่ดีขึ้นและการว่างงานที่ปรับลดลง  นับเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากรายได้ที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนกล้าที่จะกลับมาซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยมากขึ้น  ซึ่งนายวิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีบิลท์ (PREB)  ระบุปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัว 2 โครงการใหม่  คือ พิมนารา ศาลายา และ พรรณนา ทวีวัฒนา   คาดว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการ
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของ PREB ในปี 66 ยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างใหม่ มูลค่า 8,000 ล้านบาท และคาดว่ามีโอกาสได้งานอีกหลายโครงการ โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) จากงานก่อสร้างมูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังประมาณ 2,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้จนถึงปี 68
         
"บริษัทยังคงรักษาการเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง มุ่งเน้นที่จะบริหารต้นทุน ด้วยการลดระยะเวลาก่อสร้างและสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เริ่มมีทิศทางที่ดี และฟื้นตัวมากขึ้น นอกจากนี้  ยังคงเดินหน้าหาที่ดินทำเลทองสำหรับจัดตั้งโครงการใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทางและการใช้ชีวิตในประจำวัน ขณะเดียวกันยังหาโอกาสเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างในทุกเซกเมนต์ ซึ่งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจก่อสร้างของบริษัทฯ ทำให้คาดว่ามีโอกาสเข้ารับงานได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตแข็งแกร่ง" นายวิโรจน์ กล่าว