จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : DTCENT ตอบโจทย์ลดอุบัติเหตุ-สูญเสีย เปิดตัว "สมาร์ท อาย โปร"


12 กรกฎาคม 2566
การเกิดอุบัติเหตุทำให้เกิดการสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่ง บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) ผู้นำเทคโนโลยีการขับขี่  เปิดตัวอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยขั้นสูง ฝีมือคนไทย "สมาร์ท อาย โปร" (Smart Eye Pro) มั่นใจเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถ และช่วยดันผลงานปีนี้โต 10-15%

รายงานพิเศษ DTCENT.jpg

ประเทศไทยมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปีละประมาณ 22,491 ราย คิดเป็น 32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคนเฉลี่ยแล้ว มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุชั่วโมงละ 3 คน ซึ่งถือว่าเกิดค่าเฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า อุบัติเหตุทางถนนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมอย่างมหาศาล ขณะที่สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ ได้คำนวณมูลค่าความสูญเสียจากการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุจราจร เกิดความสูญเสียที่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 5 แสนล้านบาทต่อปี

ขณะที่ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  รายงานว่า  ปี 2556  มีการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 61,246 ราย  หลังจากนั้นมี แนวโน้มสูงขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันในปี 2565 เกิดขึ้น 83,508 ราย  สำหรับความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวพบว่า  มีผู้สูญเสียชีวิตในปี 2556 จำนวน 7,338 คน  หลังจากนั้นมีแนวโน้มลดลง จนกระทั่งปัจจุบันใน ปี2565 มี จำนวน คนสูญเสียชีวิต 5,847 คน  ขณะเดียวกันการได้รับบาดเจ็บของผู้ใช้ทาง  พบว่า มีคนบาดเจ็บ 20,888 คน  ในปี2556 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จนกระทั่งปัจจุบัน ปี2565  มีคนบาดเจ็บ  41,183 คน

แนวทางการลดการเกิดอุบัติเหตุ โดยการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากขึ้น เพื่อลดการสูญเสีย  ล่าสุด  บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "สมาร์ท อาย โปร" (Smart Eye Pro) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการขับขี่ที่มีความปลอดภัยขั้นสูง ที่ได้พัฒนาโดยฝีมือของคนไทย  ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรก ที่ได้พัฒนาระบบประมวลผลแบบ AI ช่วยวิเคราะห์และแจ้งเตือนพฤติกรรมเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่  DTCENT  “ทศพล คุณะเพิ่มศิริ” เปิดเผยว่า   Smart Eye Pro ประกอบด้วย ADAS  (Advanced  Driver Assistant Systems) ระบบที่ช่วยให้คนขับรถสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น และ DMS (Driver Monitoring System) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน และช่วยลดความเสียหายจากอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ ระบบประมวลผลแบบ AI ยังสามารถใช้วิเคราะห์ด้านต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระบบตรวจจับป้ายทะเบียน ALPR : Advance License Plate Recognition, ระบบจดจำใบหน้า Face Recognition, Yard Management / Container number Recognition, Human detection / Zone restriction, Backhoe Behavior Detection เป็นต้น เพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถขนส่งสินค้า และรถโดยสารสาธารณะ
          
"DTCENT เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาเป็นอุปกรณ์ ที่ช่วยตรวจจับความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถทุกประเภท โดยมีการพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการกับลูกค้ามากที่สุด โดยเริ่มทดลองใช้กับกลุ่มลูกค้าเดิม และมีการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่อีกด้วย มั่นใจว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้เติบโตที่ 10-15% ได้อย่างแน่นอน" นายทศพลกล่าว
           
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 คาดว่ายังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) มีเพิ่มมากขึ้น จากธุรกิจท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ภาคการขนส่งสินค้า การเดินทางกลับมาเป็นปกติแล้ว
           
ทั้งนี้ บริษัทเร่งเปิดศูนย์บริการและขายสินค้า GPS Tracking ในสถานีบริการน้ำมันเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกและรวดเร็ว และสามารถเดินทางไปยังถนนเส้นหลักได้ ตั้งเป้าหมาย 8 แห่งภายในปีนี้  พร้อมกันนี้ ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานในธุรกิจ GPS และ การพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า
          
ส่วนความคืบหน้าการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ ประมาณ 4-5 บริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
          
พร้อมกันนี้ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ IoT Solution รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ เช่น งานโครงการด้านเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) ตามเทศบาลต่างๆ และ ระบบ AI  อย่าง BAMS (Business Activity Management System) ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้ระบบ รวมทั้ง ระบบบริหารจัดการน้ำ และระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform ซึ่งคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
          
แผนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา เจรจาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ คาดว่า จะเห็นความชัดเจน 1-2 แห่งภายในปีนี้