Smart Investment

"นิติ โอสถานุเคราะห์"รวย! แชมป์รับปันผลพิเศษ OSP 578 ลบ.


28 มิถุนายน 2566

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ดัชนีแกว่งตัวและปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด โดยบล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีความผันผวน และมูลค่าซื้อขายเบาบางมาก โดยเดือน มิถุนายน 2566(mtd) เหลือ 4.4 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าทั้งปี 2565 ที่ 7.1 หมื่นล้านบาท และทั้งปี 2564 ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท

smart invest หุ้นใหญ่ OSPโกยปันผลพิเศษ  928 ลบ.jpg

ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า เวลาตลาดหุ้นมีมูลค่าซื้อขายเบาบาง มักจะ Underperform เสมอ อาทิ SET Index เวลามูลค่าซื้อขายต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท มักจะให้ผลตอบแทยเฉลี่ยต่อวัน -0.06% ตรงข้ามกับเวลามูลค่าซื้อขายสูงเกิน 1 แสนล้านบาทต่อวัน หุ้นมักปรับตัวขึ้นได้ดีเฉลี่ย +0.08% ต่อวัน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่บวกเฉลี่ย +0.24% ต่อวัน

อีกทั้งในช่วงนี้ยังเห็นหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทลงลึกเกิน -2% ย้ำๆ ติดต่อกันหลายวัน ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าความผันผวนดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในช่วงที่สภาพคล่องเบาบางจึงลงลึกมากกว่าปกติ ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหาหุ้นไทยพื้นฐานดี ราคาย่อตัวลงมาจนน่าสะสม อีกทั้งยังหลบการถูก Margin Call ได้ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

  1. เป็นที่มีสัดส่วนการนำหุ้นมาวางเป็นหลักประกันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นที่นำมาวางเป็นหลักประกันทั้งหมดในตลาดที่ 1.62% (ข้อมูลสิ้นเดือน พ.ค. 66)
  2. เป็นหุ้นที่ย่อตัวลงมาลึก (Return ytd < 15%)
  3. เป็นหุ้นพื้นฐานดี มี Upside > 10%

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของพอร์ตลงทุนของ "นิติ โอสถานุเคราะห์"ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP พบปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้น 8 บริษัท ประกอบด้วย

 

หุ้น

จำนวน(หุ้น)

% การถือครอง

BKI

2,224,362

2.09

CENTEL

41,314,611

3.06

CPALL

138,986,600

1.55

CPN

83,234,500

1.85

HMPRO

665,764,862

5.06

MINT

497,600,851

9.35

OSP

723,097,300

24.07

WHA

436,438,690

2.92


ทั้งนี้ล่าสุด คณะกรรมการ บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP มีมติจ่ายเงินปันผลพิเศษ กำไรสะสมในอัตราหุ้นละ0.80บาท ซึ่งการประกาศจ่ายปันผลพิเศษในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยมูลค่าของการจ่ายเงินปันผลพิเศษในครั้งนี้ประมาณ 2,403.00 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งพิเศษจากเงินที่บริษัทฯ ได้รับจากการจำหน่ายหุ้นของบริษัท ยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด

หากพิจารณาจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันจะพบว่า กลุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ จะได้รับเงินปันผลเกือบ 50%ของมูลค่าเงินปันผลพิเศษที่จ่ายทั้งหมด ดังนี้

รายชื่อ

   จำนวน(ล้านหุ้น)

มูลค่าปันผล(ลบ.)

 นิติ โอสถานุเคราะห์

723

578

 ภาสุรี โอสถานุเคราะห์

105

84

 เกสรา โอสถานุเคราะห์

94

75

 ธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์

86

69

 คฑา โอสถานุเคราะห์

75

60

 นาฑี โอสถานุเคราะห์

75

60

มูลค่ารวม

 

928

 
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า "นิติ โอสถานุเคราะห์"จะเป็นบุคคลในตระกูลดังกล่าวได้รับเงินปันผลมากสุด โดยถือหุ้นจำนวน723 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเงินปันผลที่จะได้รับอยู่ที่ 578 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในรอบเดือนมิถุนายน 2566 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.45% จากราคา 29 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาท โดยราคาปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 30.75 บาทและต่ำสุดที่ 28.75 บาท

 

รายชื่อผู้ถือหุ้น OSP ล่าสุดประกอบด้วย

นิติ โอสถานุเคราะห์

723,097,300

24.07

BANK JULIUS BAER & CO. LTD, SINGAPORE

261,060,475

8.69

ไทยเอ็นวีดีอาร์

188,312,950

6.27

 ภาสุรี โอสถานุเคราะห์

105,917,600

3.53

 เกสรา โอสถานุเคราะห์

94,188,200

3.14

 ธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์

86,892,500

2.89

ปริญญา เธียรวร

81,757,800

2.72

คฑา โอสถานุเคราะห์

75,426,550

2.51

นาฑี โอสถานุเคราะห์

75,305,250

2.51

ธนาคาร กรุงเทพ

75,000,000

2.5

 
บล.กรุงศรี พัฒนสิน  แนะนำ “Trading Buy”หุ้น OSP ที่ราคาเป้าหมาย  31.00 บาท โดย OSP แจ้งมติที่ประชุมอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.8 บ./หุ้น รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,403 ล้านบาทซึ่งเรามีมุมมอง ‘เป็นกลาง’ ต่อประเด็นดังกล่าว เพราะแม้การจ่ายปันผลเป็นการตอบแทนสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันได้เร็วที่สุด โดยอัตราเงินปันผลพิเศษ 0.8 บ./หุ้น คิดเป็น dividend yield ราว 2.7% แต่ระยะยาว คาดถูกกดดันด้วยประมาณการกำไรปี 24F ขึ้นไปอาจเกิด downside เพราะที่ผ่านมา OSP รับรู้เงินปันผลจาก บ.ยูนิชาร์มประเทศไทยเฉลี่ยราว 200-300 ลบ. (6-7%ของกำไร OSP แต่ละปี)

เชิงปัจจัยพื้นฐาน คงมองกำไร 2Q23F ฟื้นตัวต่อ : เราคาดกำไร 2Q23F โต y-y จากแนวโน้ม market share ที่เริ่มดีขึ้นในปลาย 1Q23 และ GPM ฟื้นตัวจาก volume การผลิตฟื้นตามฤดูกาล และต้นทุนพลังงานที่เริ่มลดลง รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่อเนื่อง แต่อาจลดลง q-q เนื่องจากใน 1Q23 มีปันผลจาก unicharm 300 ลบ. คงประมาณการกำไรสุทธิ 23F ที่ 2.8 พันลบ. (+45%y-y)

เราคงคำแนะนำ “Trading Buy” TP23F ที่ 31.00 บาท จากแนวโน้มผลการดำเนินงานเริ่มเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวตลอดทั้งปีทั้งจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำกำไรที่ฟื้นตัวเร็วตั้งแต่ 1Q23 และส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ผ่านจุด Bottom ไปแล้ว

OSP