SMD100 พลิกเกมครั้งสำคัญ เปิดให้เช่า หุ่นยนต์ผ่าตัดจากญี่ปุ่น เพิ่มโอกาสสร้างรายได้แบบระยะยาว
SMD100 ตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดกำลังเข้าสู่การแข่งขัน พร้อมชูโมเดลหุ่นยนต์ผ่าตัดจากญี่ปุ่น ด้วยรูปแบบ เช่าใช้ เพียง เดือนละ 1.2 ล้านบาท ลดภาระเงินลงทุนเริ่มต้น เหมาะกับโรงพยาบาลที่ต้องการขยายบริการผ่าตัดหุ่นยนต์ โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน
ดร. วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO & Chief Health Policy Architect) บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 กล่าวถึงตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดกำลังเข้าสู่การแข่งขันจริงครั้งแรกในรอบหลายสิบปี หลังจากยุคผูกขาดเริ่มสั่นคลอน ทั้งจากแรงกดดันเรื่องต้นทุน และการเข้ามาของผู้ผลิตจากจีนที่เสนอราคาคุ้มค่าอย่างมาก
1.ผู้นำตลาดเบอร์หนึ่งของโลก ราคาเดิม 120 ล้านบาท ล่าสุดปรับลดเหลือ 80 ล้านบาท มีฐานศัลยแพทย์ใหญ่ที่สุด และบริการหลังการขายเข้มแข็ง ค่า Maintenance ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 10 ต่อปีของราคาเครื่อง (ทำให้ต้นทุนรวมตลอดอายุใช้งานยังคงสูง) มุมมองตลาด การลดราคา เป็นสัญญาณชัดว่าเบอร์หนึ่งต้อง “ป้องกันส่วนแบ่งตลาด” หลังผู้ท้าชิงเริ่มรุกหนัก
-
ผู้ท้าชิงจากจีน (ทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในตอนนี้) ราคาเฉลี่ย 60 ล้านบาท ขายได้แล้ว 2 เครื่องในประเทศไทย ให้ของแถมจำนวนมาก เช่น Simulator (เครื่องฝึกผ่าตัดจำลอง) อุปกรณ์เริ่มต้นครบชุด เงื่อนไขบริการปีแรกแบบรวมในดีล ความคุ้มค่าเด่นชัด โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ต้องการเริ่มบริการหุ่นยนต์ผ่าตัดโดยใช้งบประมาณจำกัด กลยุทธ์ “ราคาต่ำกว่า และให้มากกว่า” คือจุดขายสำคัญ ทำให้หลายโรงพยาบาลเริ่มเปิดใจทดลองตลาดใหม่
-
3. แนวทางที่ 3 – SMD rise เสนอโมเดลใหม่จากญี่ปุ่น SMD rise นำเสนอหุ่นยนต์ผ่าตัดจากญี่ปุ่น ด้วยรูปแบบ เช่าใช้ (Subscription-Based Surgical Robotics) ค่าเช่าเพียง เดือนละ 2 ล้านบาท ลดภาระเงินลงทุนเริ่มต้น (Zero CapEx Model) เหมาะกับโรงพยาบาลที่ต้องการขยายบริการผ่าตัดหุ่นยนต์ โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน 60–80–120 ล้านบาท ทำให้สามารถวางแผนรายได้ต่อเคส และ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนแบบคงที่ ลดความเสี่ยงเรื่องค่าเสื่อม ราคาเครื่อง และเทคโนโลยีล้าสมัย
ความหมายเชิงกลยุทธ์: นี่คือ “ทางเลือกที่ 3” ที่ไม่ใช่ศึกแพง vs ถูก แต่เป็น โมเดลใหม่ทั้งระบบ ช่วยให้โรงพยาบาลมีหุ่นยนต์ผ่าตัดได้แบบ ไม่ต้องลงทุนใหญ่ ไม่ต้องแบกรับ maintenance 10% ต่อปี
-
4. ภาพรวมแนวโน้มตลาด การแข่งขันด้านราคาและแพ็กเกจจะรุนแรงขึ้น โครงสร้างต้นทุนรวม (TCO + Lifecycle Cost) จะเป็นปัจจัยตัดสิน โรงพยาบาลเริ่มแยก “แบรนด์หรู” ออกจาก “ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์”
โมเดลเช่าใช้รายเดือนแบบที่ SMD rise เสนอ คือทิศทางอนาคตของตลาดเครื่องมือมูลค่าสูง (CapEx → OpEx Transformation)
สรุปแบบเข้าใจง่ายเบอร์หนึ่งลดเหลือ 80 ล้าน, ผู้ท้าชิงจีน 60 ล้านพร้อมแถมใหญ่, และ SMD rise เปิดแนวใหม่ เช่าหุ่นยนต์ญี่ปุ่นเดือนละ 1.2 ล้าน ทำให้ตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดไทยกำลังก้าวสู่ยุค New Paradigm อย่างแท้จริง
โพสต์วิเคราะห์ของ ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์, CEO SMD rise ซึ่งได้รับการแชร์มากกว่า 83 ครั้งในกลุ่มแพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาล สะท้อนว่า “ตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง (Structural Shift)” และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอโมเดลธุรกิจนวัตกรรมได้จริง
รายงานฉบับนี้สรุปมุมมองเชิงกลยุทธ์ต่อโครงสร้างการแข่งขัน และตำแหน่งของ SMD rise ในฐานะผู้เสนอโมเดลใหม่ที่เข้ากับทิศทางโลก (CapEx → OpEx Transformation)
-
ตลาดเริ่มแตกตัวหลังยุคผูกขาดยาวนาน ผู้นำตลาดรายเดิมที่ครองส่วนแบ่งเกือบทั้งหมดในรอบหลายสิบปี
ลดราคาจาก 120 ล้านบาท เหลือ 80 ล้านบาท สัญญาณนี้ตีความได้ว่าเป็น Defensive Strategy เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ผลที่ตามมาคือ Margin Compression ของผู้เล่นเดิม และเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาได้เร็วขึ้น โดยการเริ่ม “ลดราคาเชิงโครงสร้าง” ของผู้นำตลาดคือปัจจัยชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่ช่วง Disruption รอบใหม่
-
ผู้ท้าชิงจากจีน – ราคา 60 ล้านบาท พร้อมแพ็กเกจแถมเต็มระบบ ขายแล้ว 2 เครื่องในประเทศไทย จุดขายคือ ราคาต่ำกว่า มูลค่ารวมที่มากกว่า (Value-Loaded Package) ผู้เล่นรายนี้ดึงดูดโรงพยาบาลที่ต้องการผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROI) ที่ชัดเจนขึ้น โดยเทรนด์ “Cost-Disruptive Competitors” จากจีนเริ่มเกิดในอุปกรณ์แพทย์มูลค่าสูง และตลาดเริ่มตอบรับ
-
SMD rise เปิดโมเดลใหม่: Subscription-Based Surgical Robotics จุดพลิกเกมครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม (Industry Game Changer) SMD rise ประกาศเปิดตัวโมเดล “เช่าใช้รายเดือน” สำหรับหุ่นยนต์ผ่าตัดจากญี่ปุ่น โดยไม่มีการลงทุนก้อนแรก (Zero CapEx) ค่าเช่าเพียง 1.2 ล้านบาทต่อเดือน ไม่มีเงินลงทุน 60–80 ล้านบาท ต้นทุนโรงพยาบาล “แปลงเป็นรายเดือน” พร้อมรายได้ต่อเคสที่คำนวณได้ทันที ลดความเสี่ยงด้าน Depreciation, Obsolescence, Maintenance (10%/ปี) เปิดโอกาสให้ โรงพยาบาลระดับ Secondary Tier เข้าถึงเทคโนโลยีได้เป็นครั้งแรก
โมเดลนี้ขยายตลาดโดยตรง (Market Expansion Model) ดึงดีมานด์จากโรงพยาบาลที่ไม่มีงบซื้อเครื่อง สร้างรายได้แบบ Recurring Revenue (RRM) ซึ่งเป็นเมตริกสำคัญใน HealthTech และเข้ากับวิสัยทัศน์ของ SMD rise ในการเป็นผู้นำ OpEx-Based Medical Ecosystem ของไทย
-
ความหมายเชิงกลยุทธ์ต่อ SMD rise (Strategic Implications) 4.1 การขยาย TAM (Total Addressable Market) เดิมตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดมีผู้ซื้อจำกัด (เฉพาะโรงพยาบาลใหญ่) โมเดลของ SMD rise เปิดตลาดใหม่ทั้งหมดของโรงพยาบาลระดับกลาง–เล็ก
4.2 สร้าง Recurring Revenue ที่มั่นคง โมเดลเช่าใช้รายเดือนช่วยให้รายได้มีความเสถียร และประเมินได้ล่วงหน้า
เป็นผลดีต่อภาพรวม Valuation และ P/E ระยะยาว
4.3 Branding Positioning: “Innovator of High-Value Medical OpEx” ช่วยผลักดัน SMD rise ให้เป็นผู้นำเทรนด์ CapEx → OpEx ในตลาดเครื่องมือแพทย์มูลค่าสูงของไทย
4.4 Alignment กับกลยุทธ์ Dual-Engine Architecture สอดคล้องกับโครงสร้าง Core + Capital Expansion Model
โดยเฉพาะการสร้างธุรกิจรูปแบบ Subscription ที่สามารถ Spin-off ได้ในอนาคต
-
แนวโน้มปี 2569-71 ตลาดจะขับเคลื่อนโดย TCO (Total Cost of Ownership) ไม่ใช่แค่แบรนด์ โรงพยาบาลเริ่มมองหาโมเดล Asset-Light + Risk-Light เครื่องมือมูลค่าสูงอื่น ๆ (เช่น Cath Lab, Robotic Surgery, Proton Therapy Accessories) จะทยอยเข้าสู่โมเดลบริการรายเดือนเช่นเดียวกัน โดย SMD rise อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการขึ้นเป็นผู้นำ “OpEx HealthTech Transformation” ในประเทศไทย
สรุปสำหรับนักลงทุน “80 ล้าน (เบอร์หนึ่ง) – 60 ล้าน (จีน) และ 1.2 ล้านต่อเดือน (SMD rise)” สะท้อนว่าโครงสร้างการแข่งขันของตลาดนี้กำลังเปลี่ยนครั้งใหญ่
SMD rise ไม่ได้แข่งขันด้วยราคาเครื่อง แต่แข่งขันด้วย โมเดลธุรกิจใหม่ ที่ขยายตลาด เพิ่มโอกาส และสร้างรายได้แบบระยะยาว–ยั่งยืน นี่คือจุดเปลี่ยน (Strategic Inflection Point) ที่ SMD rise สามารถยกระดับมูลค่ากิจการได้อย่างมีนัยสำคัญในอีก 3–5 ปีข้างหน้า