กระดานข่าว

บลจ.กรุงศรี โชว์ผลงานปี 2568 โต 10% เปิดแผนธุรกิจปี 69 เพิ่มกองทุนสกุลเงิน ตปท.


20 พฤศจิกายน 2568

บลจ.กรุงศรีระบุ ปี68 มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารกว่า 7 แสนล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี และสูงกว่าอุตสาหกรรม 3% ผลจากเงินทุนไหลเข้ากว่า 5.7 หมื่นล้าน พร้อมเปิดแผนธุรกิจปี 2569 เน้นพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ

บลจ.กรุงศรี.jpg

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “ในปี 2568 บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารอยู่ที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี และสูงกว่าอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม” (ข้อมูล ณ ก.ย. 68)

“กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้สะสมมูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง”

“สำหรับแผนธุรกิจปี 2569 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนรายใหญ่ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์ใช้งานผ่าน @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง”

ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2569 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง

ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่

“ธีมการลงทุนเด่นในปี 2569 ได้แก่ หุ้นกลุ่ม AI, หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนด้าน AI และการลดภาษี, หุ้น Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่แพง, และหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว กองทุนเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ KFGDIV, KFHEALTH, และ KFCHINA-T10PLUS ซึ่งคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกลุ่มเติบโตสูง และได้แรงหนุนจากทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปี 2569”

“เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่ปรับตัวดี และภาคการผลิตที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าคาด แม้ยังมีปัจจัยต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความล่าช้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจเทคโนโลยี ด้านตลาดหุ้นไทยปี 2569 ยังคงน่าสนใจจากระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบภูมิภาค และอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ออกมาดี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ผลประกอบการเด่น กองทุนหุ้นไทยแนะนำ ได้แก่ KFENS50 และ KFTSTAR”

“บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยประเมินว่าเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ประกอบกับเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำและอาจติดลบในปี 2568 จึงมีโอกาสที่ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1–2 ครั้งสู่ระดับ 1.00–1.25% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 กองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจ ได้แก่ KFSMART-A และ KFAFIX-A ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงน่าสนใจ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้คุณภาพสูง โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำคือ KF-CSINCOME ที่กระจายการลงทุนทั่วโลกได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับสภาวะตลาดที่ยังผันผวน”

“โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 2569 บลจ.กรุงศรี แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงที่สุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5–10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ในระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว” นายศิระ กล่าว