ดร.นิเวศน์ ตัดพ้อ ผลตอบแทนพอร์ตหุ้นเวียดนามแพ้ตลาด 50% ชี้หุ้นไทยร่วงต่อเนื่องมองไม่เห็นอนาคต

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า(VI) ชั้นแนวหน้า ได้เผยแพร่บทความผ่าน www.settrade.com ในหัวข้อ ใช้ AI อย่าเพิ่งซื้อหุ้น AI ว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต”
แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”
พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก”
ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด
ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต
และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา
ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา
สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ
ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก
ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้
ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียดนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง
ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว
คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้
เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน
หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น
และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”
แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และ TESLA
รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน
รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว
ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว
กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น
รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน
ยอดนิยม
NEX ผนึก "นครชัยแอร์" ชิงรถเมล์ไฟฟ้า ขสมก. มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท
บจ.ไทยเงินหนา! ปี 68 ซื้อหุ้นคืนรวมกว่า 3.7 หมื่นลบ. ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทองคำแกว่งตัวตามอารมณ์ตลาด วันสุดท้ายก่อนคริสต์มาส วอลุ่มบาง ทองไทยเปิดลบ 100 บาท เจอบาทแข็งกดดัน
กลุ่มอิเล็กฯ กำไรสะดุด เงินบาทแข็งอาจทำพิษ โบรกฯ คาดทุก 1 บาท ฉุดกำไร 7-10%