Talk of The Town

หุ้นไทย 9 เดือนสาหัส! ดัชนีดิ่งแรงสุดใน “เอเชีย”


06 ตุลาคม 2568

หุ้นไทย 9 เดือนแรกสาหัส_S2T (เว็บ) copy.jpg

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียตลอดปีนี้สะท้อนภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อ้างอิงรายงานจากบทวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า บางประเทศยังคงวิ่งแรงต่อเนื่องจนสร้างผลตอบแทนโดดเด่น เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และเวียดนาม

แต่ในทางกลับกัน “ตลาดหุ้นไทย” กลายเป็นตลาดที่อ่อนแอที่สุดในภูมิภาค หลังปรับตัวลดลงถึง 9% สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านที่ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก สะท้อนถึงแรงกดดันเฉพาะตัวของเศรษฐกิจและปัจจัยการเมืองในประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/68 SET Index ฟื้นตัวโดดเด่น 17.7% หนุนจาก 1. การบรรลุข้อตกลงภาษีนาเข้าสหรัฐฯ ที่ระดับ 19% ในช่วงต้นไตรมาส 

2.กระแสเงินทุนไหลเข้าจากดอลลาร์อ่อนค่าหลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย และ 3. เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดยความไม่แน่นอนคลี่คลายหลังศาลมีคาตัดสินให้ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปลายเดือน ส.ค. และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ 

นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 ก.ย.  และได้เผยถึงแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคนละครึ่ง, EasyE-Receipt รวมถึงการดึงบุคลากรภาคเอกชนเข้าร่วมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายกระทรวง ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเสถียรภาพต่อตลาด

สำหรับกลยุทธ์ไตรมาส 4/68 โดย SET Index เริ่มลดภาวะ Underperform เมื่อเทียบกับภูมิภาค โดยในช่วงไตรมาส 3/68 ปรับตัวขึ้นดีกว่า MSCI Emerging Market ที่บวก 10% ได้แรงหนุนจากหลักจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ไทยที่มีความชัดเจน, ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ลดระดับความรุนแรงลง, และการเมืองในประเทศที่จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยใช้เวลาไม่นาน แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และมีกาหนดอยู่เพียง 4 เดือน แต่สามารถกระตุ้นให้ตลาดกลับมาคาดหวังเชิงบวก กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่ Underperform ตลาด โดยเฉพาะ Domestic Playเร่งตัวขึ้นมาพยุงตลาดได้ในช่วงปลายไตรมาส

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/68 คาดว่าอัตราเร่งการปรับขึ้นของ SET Index จะเริ่มชะลอตัวเพราะที่ระดับ PER68-69 ที่ 14.7 เท่า และ 13.7 เท่า ถือว่าไม่อยู่ในโซนที่ถูก เมื่อเทียบกับ MSCI Emerging Market ที่ 15.3 เท่า และ 13.3 เท่า ตามลำดับ แต่ยังมีโอกาสแกว่ง Sideway to sideway up จากแรงหนุนของ 

1.การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี กดดัน US Bond Yield และ Dollar Indexให้อ่อนตัวลง หนุนกระแสเงินไหลเข้า Emerging Market โดยเฉพาะกลุ่ม Yield Play เช่น สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, ไฟแนนซ์, REIT 

2.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีน หนุนกลุ่ม China Play เช่น พลังงานและปิโตรเคมี 3. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลชุดใหม่ และแรงเก็งกำไรการเลือกตั้งที่จะเกิดช่วงต้นปีหน้า หนุนกลุ่ม Domestic Play เช่า ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, หุ้นขนาดกลาง-เล็ก 4. เม็ดเงินลงทุนจากกองทุนประหยัดภาษี Thai ESG หนุนหุ้นที่ได้ SET ESG Rating สูง และกอง REIT & IFF ที่จะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินของกองทุนดังกล่าวเป็นครั้งแรก

ดังนั้นปรับไปใช้ SET Index Target สิ้นปี 68 ที่ 1,400 จุด อิงกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาท เพิ่มขึ้น 6%จากปีก่อนหน้า และ PER Multiplier ที่ 15.5 เท่า บนสมติฐาน GDP2026 ที่ 2.0% และคาดสภาพคล่องในการซื้อขายกลับมาฟื้นตัวอยู่ที่ 4.5-5.0 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากที่ลงไปเหลือ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อวันในปีนี้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ SET Index ซื้อขายบน Valuation ที่ใกล้เคียงภูมิภาคได้ ขณะที่ เป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ ยังคงไว้ที่ 1,275 จุด อิงกำไรต่อหุ้นที่ 85 บาท/หุ้น และ PER Multiplier ที่ 15 เท่า

โดย Theme การลงทุนหลักในไตรมาส 4/68 คือ Domestic & Yield Play อิงแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและ กนง. รวมถึง มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่ กลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ตลาด คือ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, และหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ Valuation ไม่แพง หุ้นและ DR แนะนำในไตรมาส 4/68 คือ ICBC19, AIA19, CPNREIT, FSMART, CPALL, TRUE, PTT

หุ้นไทย 9 เดือนแรกสาหัส_S2T (เพจ) copy.jpg