Fund / Insurance

แรบบิท ประกันชีวิตคาดปี68เบี้ยรับแตะ2.6พันลบ. ส่วนปีหน้าโต 15% อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท


29 กันยายน 2568

แรบบิท ประกันชีวิต คาดปี 68 ตั้งเป้าเบี้ยรับแตะที่ 2.6 พันล้าน พร้อมก้าวสู่ปี 69 ด้วยเบี้ยรับ 3,000 ล้านบาท โต15% ด้วยกลยุทธ์ Omni Channel และ Data-Driven Insurance  ขณะที่ 8 เดือนเบี้ยประกันภัยรับรวม 1.92 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เผยพอร์ตประกัน ‘คุ้มครองชีวิต–สุขภาพ-บำนาญ’ ครองความนิยมสูงสุด

11_Rabbit Life_ภาพประกอบข่าว.jpg

นายกรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทน่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 2,600 ล้านบาท และปี 2569 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา  และพร้อมเดินหน้าต่อยอดโมเมนตัมสู่ปี 2569 ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (Level Up Consumer Experience) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั้งความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินระยะยาว ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อน Data-driven Insurance เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและเข้าถึงง่าย ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ รวมถึงการเสริมศักยภาพเครือข่ายตัวแทนคุณภาพ 

ส่วนผลประกอบการระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ของแรบบิท ประกันชีวิต ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ประมาณ 1.92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP: First Year Premium) อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% ผลกำไรของบริษัทอยู่ที่ 356 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) อยู่ที่ 213% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือของบริษัท โดยความสำเร็จดังกล่าวล้วนมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น 3 กลุ่ม ได้แก่

•    กลุ่มผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิต (Whole Life) โดยยอดขายในกลุ่มนี้เติบโตกว่า 10 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่า 495 ล้านบาท

•    กลุ่มผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพ (Health Insurance) โดยมียอดขายเติบโตสูงถึง 144% หรือคิดเป็นมูลค่า 26.4 ล้านบาท นำโดยผลิตภัณฑ์เหมาจ่ายอย่าง Health Smile ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

•    กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันบำนาญ (Annuity)  โดยมียอดขายเติบโต 115% หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 60.1 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากทุกช่องทางการขายหลัก โดยช่องทางตัวแทน (Agency) ที่สามารถสร้างเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่เติบโตถึง 136% คิดเป็นมูลค่า 351.1 ล้านบาท ขณะที่ช่องทาง Broker ทำผลงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งที่ 79% หรือคิดเป็นมูลค่า 250.8 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ (Internet Sale) ที่ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่อง โดยครองอันดับ 4 ในตลาดได้อย่างมั่นคง สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภครุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล โดยมียอดเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่อยู่ที่ 67.5 ล้านบาท ความสำเร็จจากทุกช่องทางนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายตัวแทนคุณภาพ ตลอดจนความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทได้วางกลยุทธ์ Omni-Channel ผ่านการพัฒนาและปรับปรุง Touch Points ทุกจุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการซื้อประกันออนไลน์ ที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย และลูกค้าสามารถ Customixed ปรับแต่งความคุ้มครอง ได้ตามความต้องการเฉพาะของตัวเอง หรือจะเป็นระบบ iService ที่ดูแลลูกค้าหลังการขายอย่างใกล้ชิด ให้ลูกค้าอุ่นใจและสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ตลอดเวลา รวมถึงยังมีแคมเปญการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเจาะฐานลูกค้าทุกเจเนอเรชันที่ต้องการวางแผนภาษีและการเงินอย่างคุ้มค่า โดยมุ่งผลักดันยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษี อาทิ Hero 10/1, Hero 10/3 และ Hero 10/5 

นายธัญญะ ซื่อวาจา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารและสนับสนุนองค์กร บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจ และเพื่อเสริมศักยภาพการทำงานให้สอดรับกับ Ecosystem ของกลุ่มบีทีเอส จึงมีการย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่มายังอาคาร BTS Visionary Park ก้าวสำคัญนี้ไม่เพียงสะท้อนความแข็งแกร่งในการเติบโตของธุรกิจ แต่ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของเราในการเดินทางมายังสำนักงานใหญ่แห่งนี้ โดยเชื่อมต่อระบบคมนาคมใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทันสมัย ในพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม ควบคู่ไปกับการยกระดับสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของพนักงาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพไว้ เพื่อสร้างคนประกันรุ่นใหม่มาช่วยในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”