หุ้นกลุ่มพลังงานรายใหญ่ของไทยอย่าง กลุ่ม ปตท. นักลงทุนกำลังจับตากันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทในหลายด้าน ทั้งโครงการ CFP ที่มีความคืบหน้า การแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน รวมถึงการขยายธุรกิจไฟฟ้าและการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (data center) ซึ่งสะท้อนความพยายามในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัยได้อัปเดตประเด็นสำคัญที่ยังคงค้างกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่ม PTT ระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมเยี่ยมชมโรงงานที่ จ.ระยอง
ทั้งนี้ยังคงเลือกชอบ TOP เป็นหุ้นเด่นสำหรับกลุ่มพลังงาน PTTGC สำหรับกลุ่มปิโตรเคมี และ GSPC สำหรับผู้ประกอบการไฟฟ้า SPP
โดยมอง TOP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มพลังงานจากผลผลิตน้ำมันดีเซลที่ค่อนข้างสูง มีความคืบหน้าของโครงการ CFP และ upside จากการแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน
ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีชอบ PTTGC เนื่องจากมีโอกาสปรับเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้นจากการพิจารณาปิดกำลังการผลิตตุ้นทุนสูงอย่างต่อเนื่อง และ upside จากการแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน
นอกจากนี้ ภายใต้แนวโน้มราคาพลังงานโลกที่ลดลง GPSC จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากราคา LNG และถ่านหินที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งยังชอบ OR และ IRPC เนื่องจากราคาหุ้นไม่แพง แม้ว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมและกำไรจะค่อนข้างอ่อนแอ
สำหรับประเด็นสำคัญในการเยี่ยมชมโรงงาน ที่ จ.ระยอง มีรายละเอียดดังนี้ โดยคงคาดการณ์เงินปันผลของ PTT ในปี 2568 ที่ 2.1 บาท/หุ้น ทรงตัวจากปีก่อน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.7% อย่างไรก็ตาม มองว่ามีโอกาสที่การจ่ายเงินปันผลจะสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศบางส่วน ได้ขอให้ PTT เพิ่ม อัตราตอบแทนเงินปันผลเป็น 8-9% ต่อปี เพื่อให้ PTT กลายเป็นหุ้นปันผลอย่างแท้จริง
แต่ผู้บริหาร PTT ระบุว่าบริษัทฯ ตั้งใจที่จะสร้างผลตอบแทนทีมั่นคงให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ดังนั้น คาดว่า PTT จะประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.8 บาท/หุ้น ภายในสิ้นเดือนนี้ ทรงตัวจากปีก่อน
ขณะที่ PTT จะสรุปรายชื่อพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายใหม่ภายในสิ้น ปี 2568 โดยธุรกรรมดังกล่าวน่าจะเป็นการออกหุ้นสามัญใหม่โดยบริษัทย่อยในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น (P&R) ซึ่ง PTT ตั้งใจจะลดสัดส่วนการถือหุน้ ในบริษัทย่อยเหล่านี้ แต่ PTT จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่
ดังนั้น PTT จะไม่มีการปรับมูลค่ายุติธรรมจากธุรกรรมเหล่านี้ (ไม่มีกำไร/ผลขาดทุนพิเศษในงบกำไร/ขาดทุน)โดยการเพิ่มทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทย่อยเหล่านี้
ส่วน PTTGC ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมียอดจองซื้อเกินกว่าเป้าหมายที่ 8 เท่า
ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (interest rate swap) จากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งผู้บริหารคาดว่าต้นทุนดอกเบี้ยของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ดังกล่าวจะไม่เกิน 5% หลังจากการทำ interest rate swap โดยเงินที่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ต่อ EBITDA ของบริษัทฯ ให้ต่ำกว่า 4 เท่า ได้
นอกจาก PTT จะทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อ ในกิจกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินของบริษัทในเครือปิโตรเคมีและโรงกลั่นแล้ว GPSC กำลังประเมินดีลการแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน 2 รายการหลัก โดย GPSC กำลังพิจารณาการเข้าซื้อหุ้น บางส่วนในโรงไฟฟ้า SPP (captive) จาก PTTGC และ TOP ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 700MW แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดของธุรกรรมเหล่านี้ โดยธุรกรรมนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2569
นอกจากนี้ GPSC กำลังศึกษาการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (data center) เพื่อตอกย้ำให้ประเทศไทยเป็นเป้าหมายในการลงทุนของผู้ประกอบการระดับไฮเปอร์สเกล
ยอดนิยม
_0.jpg)
SET ขึ้น 7 วันรวด โบรกฯ ชี้ยังมีโอกาสไปต่อ รับแรงหนุนนโยบายกระตุ้นการเงิน-การคลัง

ทองคำพุ่งทะลุกรอบ! Shining Gold ชี้โอกาสทำ New High ต่อเนื่อง นักลงทุนสะสม แนะถือ Run Profit
_0.jpg)
4 หุ้นอสังหาฯ จ่อรับผลบวก สมาคมอสังหาฯเสนอมาตรการ Quick Win เว้นค่าโอน-จดจำนองทุกระดับถึงสิ้นปี
_0.jpg)
เปิด 10 บิ๊กแคปราคาพุ่ง พบ หุ้นตระกูลดังแรงดี ครึ่งแรก ก.ย. M แชมป์ทะยาน 31.94%
_0.jpg)