โบรกฯ หั่นคำแนะนำ “ขาย” BBL เหตุผลตอบแทนปันผลต่ำสุดในกลุ่ม หวั่นกำไรหด สะท้อนจาก NIM ที่ลดลง
นักวิเคราะห์ประเมินแรง! ปรับลดคำแนะนำ BBL เป็น “ขาย” ชี้อัตราผลตอบแทนปันผลที่ต่ำที่สุดในกลุ่มฯ ROE ต่ำที่สุดในกลุ่ม และมีความเสี่ยงที่ NIM จะได้รับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยมากกว่าคู่แข่ง แถมมีข้อจำกัดในการลดต้นทุนเพิ่มเติมในอนาคต
โดยนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ปรับลดคำแนะนำ BBL เป็น “ขาย” จากเดิม ซื้อ ราคาเป้าหมายถูกปรับลงเหลือ 133 บาท (จาก 160 บาท)
ทั้งนี้เนื่องจาก 1. แม้ปรับเพิ่มกำไรปี 2568-70 ขึ้น 1-5% ต่อปี เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่สูงขึ้น แต่ปรับลดกำไรเฉลี่ย 18% ตั้งแต่ปี 2571 สะท้อนสมมติฐาน NIM ที่ลดลง แม้จะปรับมาใช้ปีฐาน 2569 แต่ราคาเป้าหมายถูกปรับลงเหลือ 133 บาท (จาก 160 บาท)
2. BBL มีอัตราผลตอบแทนปันผลต่ำที่สุดในกลุ่มฯ เพียง 5-6% ต่อปี เนื่องจากอัตราการจ่ายปันผลที่ระมัดระวังที่ 30-40%
3.พอร์ตสินเชื่อของ BBL เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวถึง 92% จึงทำให้ NIM และกำไรของธนาคารได้รับแรงกดดันมากที่สุดหากมีการลดอัตราดอกเบี้ย
4. ความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของ BBL ที่ยังล่าช้า และมีเครือข่ายสาขาจำนวนมาก ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ยังคงสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่
และ 5.มองว่า BBL เป็น “Value Trap” โดยซื้อขายที่ P/BV เพียง 0.5 เท่า ในปี 2569 สะท้อน ROE ที่ต่ำเพียง 6.7% ในปี 2570, อัตราผลตอบแทนปันผลที่ไม่โดดเด่น และแนวโน้มกำไรที่อ่อนแอ
BBL ยังคงอัตราการจ่ายปันผลที่ต่ำที่ 30-40% อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CET1) ฟื้นตัวกลับมาที่ระดับที่พอใจที่ 17.5% ในไตรมาส 2/68 ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการเข้าซื้อ Permata Bank อย่างมาก ซึ่งต่างจากธนาคารอื่นที่ได้เริ่มปรับเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลแล้วหรือมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้จึงคาดว่า BBL จะยังคงจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นที่ 8.5 บาท อย่างน้อยถึงปี 2570 ซึ่งแปลว่า อัตราผลตอบแทนปันผลจะอยู่เพียง 5-6% เท่านั้น เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ ที่ 7-9% นโยบายการจ่ายปันผลที่ระมัดระวังนี้ยังทำให้ ROE ของธนาคารลดลงในช่วงปีที่กำไรอ่อนตัว โดยคาดว่า ROE จะลดลงจาก 8.3% ในปี 2567 เหลือเพียง 6.7% ในปี 2570 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารไทย
อีกทั้งคาดว่า BBL จะได้รับผลลบมากที่สุดจากการเข้าสู่รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากฝ่ายวิจัยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง เหลือ 1.00% ภายในไตรมาส 1/69 เนื่องจาก 92% ของพอร์ตสินเชื่อของ BBL เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทำให้ Lending Yield ของธนาคารจะถูกปรับเกือบทันทีหากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทุก 0.25% จะทำให้กำไรสุทธิของ BBL ลดลงราว 8.5% เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ ที่ได้รับผลกระทบเพียง 6.3%
อีกทั้งคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (50%) ของ BBL จะยังคงสูงกว่าของกลุ่มธนาคาร (45%) BBL ตามหลังธนาคารคู่แข่งในด้านการปรับไปใช้ดิจิทัล โดยมีการลงทุนด้าน IT ในระดับที่น้อยกว่า และยังมีความคืบหน้าในการปรับลดจำนวนสาขาและพนักงานค่อนข้างจำกัด แม้ BBL จะมี สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพียง 12% แต่กลับบริหารเครือข่ายสาขาใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ซึ่งถือเป็นความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างด้านต้นทุน
ดังนั้นเนื่องจากยังไม่มีแผนที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างต้นทุนนี้อย่างเป็นรูปธรรม จึงมองว่า BBL มีข้อจำกัดในการลดต้นทุนเพิ่มเติมในอนาคต
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
TOP-PTTGC-GSPC ฮอตหนัก! โบรกฯ ชู เด่นที่สุดกลุ่ม ปตท. มีอัพไซด์จากการแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน
_0.jpg)
หุ้นธนาคารสะเทือน? คนแห่ถอนเงิน ผวาบัญชีถูกอายัด โบรกฯชี้ เป็นเซนติเมนต์ลบ แต่ผลกระทบจำกัด
_0.jpg)
โบรกฯ หั่นคำแนะนำ “ขาย” BBL เหตุผลตอบแทนปันผลต่ำสุดในกลุ่ม หวั่นกำไรหด สะท้อนจาก NIM ที่ลดลง
_0.jpg)