ต้องยอมรับว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ มีหุ้นอีกหนึ่งกลุ่มที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด คงหนีไม่พ้น หุ้นรับเหมาก่อสร้าง เพราะมักเคลื่อนไหวตามทิศทางนโยบายภาครัฐเป็นหลัก แต่รอบนี้หุ้นกลุ่มดังกล่าวจะได้รับผลบวก หรือถูกกดดัน หรือไม่ หลังรัฐบาลชุดนี้จะมีอายุเพียง 4 เดือน ก่อนที่จะต้องยุบสภาและก้าวสู่สนามเลือกตั้งครั้งใหม่
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า การลงนามโครงการภาครัฐใหม่ ๆ มีโอกาสจะถูกเลื่อนไป โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทาง CK ยังไม่ได้ลงนามในสัญญางานใหม่ใดๆ ทำให้ backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/68 ลดลงเหลือ 1.92 แสนล้านบาท และคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.70 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2568 หากไม่มีการเซ็นสัญญาใหม่เข้ามา
ตอนแรก CK ตั้งเป้าจะได้งานภาครัฐหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 โครงการมูลค่ารวม 1.50 หมื่นล้านบาท, โครงการทางพิเศษ M5 มูลค่า 2.50 หมื่นล้านบาท และทางด่วนยกระดับมูลค่า 3.50 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ แต่ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องใช้เวลา ดังนั้น การประมูลโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐจึงไม่น่าจะเริ่มได้ในระยะใกล้นี้
ส่วน STECON ได้ลงนามในสัญญางานใหม่ ๆ ไปแล้วมูลค่ารวม 2.60 หมื่นล้านบาท (52% ของเป้าทั้งปีที่ 5 หมื่นล้านบาท) ในครึ่งปีแรกปี 68 ส่วนใหญ่มาจากโครงการภาคเอกชนและทางด่วน M7 นอกจากนั้น STECON ยังคงมีโอกาสได้งานจากภาคเอกชนอีกหลายโครงการ เช่น พลังงานหมุนเวียน, ดาต้าเซ็นเตอร์, อาคารพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และอาจดันให้มูลค่าสัญญางานใหม่สูงถึง 5 หมื่นล้านบาทได้
แต่หากไม่รวมโครงการศูนย์การบินอู่ตะเภาของ UTA (บริษัทร่วมทุน) มูลค่า 2.70 หมื่นล้านบาท แล้ว backlog ของ STECON อาจลดลงเหลือราวหนึ่งแสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งก็เพียงพอเพื่อรองรับรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
การได้รัฐบาลใหม่ด้วยความรวดเร็วเป็นปัจจัยบวกต่อภาพในระยะสั้น แม้โครงการรัฐอาจมีแววเลื่อนไปปีหน้า แต่กำไรรวมน่าจะดีต่อเนื่องจาก backlog แข็งแกร่ง ดังนั้น ปรับ PE ที่ใช้ในการคำนวณเป้าราคาขึ้น โดยเป้าราคาใหม่ของ CK อยู่ที่ 20.50 บาท บน PE ที่ 18 เท่า ยังแนะนำ ซื้อ CK และแนะนำ ถือ STECON ที่เป้าราคาใหม่อยู่ที่ 8 บาท ให้น้ำหนักลงทุน “เท่ากับตลาดฯ” มองว่าหุ้นนกลุ่มรับเหมา ฯ อาจเผชิญความผันผวนในระยะสั้นจากข่าวรายวัน
เปิดคาดการณ์งบปี 68
กำไรของ CK ปีนี้น่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 3/68 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ผลักดันจาก 1.เงินปันผลรับสูงราว 232 ล้านบาท จาก TTW 2. กำไรจากการขายเงินลงทุนในโครงการเขื่อนหลวงพระบาง มูลค่าราว 700-800 ล้านบาท (ก่อนภาษี) และ 3. ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP แข็งแกร่งเพราะเป็นช่วง high season ของธุรกิจ โดยกำไรไตรมาส3/68 ของ CKP น่าจะดีเป็นประวัติกาลจากฤดูฝนซึ่งมาเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนบนเงินกู้ USD และดอกเบี้ที่ยจ่ายมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ประเมินกำไร CK ปี 2568 จะอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท เติบโต 63% จากปีก่อน
ส่วน STECON ปัจจัยบวกส่วนใหญ่ได้รับรู้ไปแล้วในครึ่งปีแรกปี 68 โดยกำไรครึ่งปีแรกน่าประทับใจนอกจากธุรกิจหลักแล้ว ยังมาจากเงินปันผลรับของ GULF ที่ 222 ล้านบาท, ค่าเคลมประกันโครงการป้องกันน้ำท่วมหนองบอน 400 ล้านบาท และไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองที่เคยขาดทุนกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทต่อไตรมาส
มองไปในครึ่งหลังปี 2568 คาดกำไรจะมาจากธุรกิจหลักเป็นหลักและกำไรก็น่าจะลดลงมากจากครึ่งปีแรก ด้วย เพราะ STECON อยู่ในช่วงการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ อย่าง ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงานสะอาด, การบริหารจัดการน้ำ, ธุรกิจโลจิสติกส์ ฯลฯ ซึ่งน่าจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษบางส่วนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ
ดังนั้น ประเมินกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 1.2 พันล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ ขณะที่ คาดกำไรหลักที่ 846 ล้านบาท และในปี 2569 คาด 975 ล้านบาท เติบโต 15%

ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง