Wealth Sharing

เปิด 5 ปัจจัยสำคัญ หนุน SET Index สิ้นปีนี้แตะ 1,350 จุด


09 กันยายน 2568

นับว่าหลังจากที่เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองอย่างการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็ได้ส่งผลต่อภาพรวมหลายๆอย่าง โดยตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่จะมากน้อยเพียงใดทางเราก็ได้หยิบมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่น่าสนใจมาฝากกัน

เปิด-5-ปัจจัยสำคัญ_info-ปก-ดราฟ-2_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเชิงบวก (bullish) ต่อ SET ได้เริ่มเข้าสู่วัฏจักรฟื้นตัวแล้ว และยังคงเป้าหมาย SET สิ้นปีที่ 1,350 จุด ข่าวสำคัญที่สนับสนุนมุมมองนี้ ได้แก่ 1.นายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นปัจจัยบรรเทาความไม่แน่นอนทางการเมือง 

2. มีรายชื่อรัฐมนตรีที่มีความสามารถอย่างน้อย 3 คน สำหรับกระทรวงสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง พลังงาน และการต่างประเทศ 3.แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยได้ผลมาแล้วในอดีต  4.การเดินหน้าใช้นโยบายค่าโดยสารรถขนส่งมวลชน 20 บาทตลอดสาย 

และ 5.การเข้ารับตำแหน่งของ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ในเดือนหน้า ซึ่งมีแนวโน้มผ่อนคลายทางนโยบายการเงิน (dovish) โดยเราคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการเงินเพิ่มเติม

สำหรับ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการภายในหนึ่งสัปดาห์คาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกกับรายชื่อรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คน ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ได้แก่ 

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงกระทรวงการคลัง ด้วยประสบการณ์บริหารในตำแหน่งระดับสูงหลากหลายตำแหน่ง

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นข้าราชการประจำสายอาชีพของกระทรวงการต่างประเทศ เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง และผ่านประสบการณ์ทูตในหลายประเทศ รวมถึงเคยอยู่ในทีมที่ดูแลความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในอดีต

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งเติบโตมาจากสายงานภายในองค์กรเดียวกัน ทั้งสามคนนี้ถือเป็น บุคคลนอกวงการเมือง ที่ได้รับการเสนอชื่อจากโควตานอกพรรคการเมืองของรัฐบาลชุดใหม่ 

พร้อมกันนี้ รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง มีแผนจะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “คนละครึ่ง” ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้หลังเข้ารับตำแหน่ง โครงการนี้เคยได้รับความนิยมและถูกนำมาใช้แล้วสองครั้งในสมัยรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และประสบความสำเร็จอย่างดี

โดยรูปแบบของโครงการคือ รัฐบาลจะร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายรายวันสำหรับสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยมีเพดานการอุดหนุนต่อวัน โครงการนี้ถือเป็นทั้งการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเป็นแรงจูงใจให้ผู้มีกำลังซื้อบางส่วนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังคาดว่า รัฐบาลใหม่จะเดินหน้าต่อนโยบายค่าโดยสารขนส่งมวลชน 20 บาท/เที่ยว ตลอดสาย ตามแนวทางของรัฐบาลก่อนหน้า เนื่องจากนโยบายนี้ได้รับความนิยมจากประชาชน และถูกมองว่าเป็นการสนับสนุนทั้งกำลังซื้อของประชาชน และการเดินทางด้วยพลังงานสะอาด โดยคาดว่าจะเริ่มใช้นโยบายนี้ได้ภายใน 1–2 เดือนข้างหน้า

อีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อภาพรวมตลาด คือการเข้ารับตำแหน่งของ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (dovish) โดยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ได้แก่ ใน ต.ค. 2568 และในเดือน ธ.ค. 2568 หรือ ก.พ. 2569 รวมถึงมีโอกาสที่อาจมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เชื่อว่าปัจจัยทั้งหมดข้างต้น ไม่ได้ส่งผลเชิงเฉพาะเจาะจงต่อหุ้นรายตัว แต่มีผลในเชิงบวกต่อภาพรวมของตลาด อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมที่เราชื่นชอบและมองว่าน่าลงทุน ได้แก่ ธุรกิจการเงิน (ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย) ค้าปลีก (ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยขาลง และราคาหุ้นที่ถูกมาก) 

นิคมอุตสาหกรรม (ได้อานิสงส์จากกระแส FDI ที่ยังแข็งแกร่ง และมูลค่าหุ้นที่ยังตํ่า) สาธารณูปโภค (ได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ตํ่า และดีมานด์ในอนาคตจาก Data Center) ท่องเที่ยว (จำนวนนักท่องเที่ยวแตะจุดตํ่าสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น) อิเล็กทรอนิกส์ (เชื่อมโยงกับเทรนด์ AI ที่กำลังเติบโต)

สำหรับหุ้น “Top Picks” ประกอบด้วย MTC, SAWAD, CPALL, HMPRO, COM7, MOSHI, AMATA, GULF, TRUE และ DELTA

เปิด-5-ปัจจัยสำคัญ_info-ดราฟ-2_0.jpg

SET