Talk of The Town

วัดกึ๋น! “รมว.คลัง-พลังงาน” คนใหม่ คว่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น บนความหวัง “ฟื้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน”


08 กันยายน 2568

วัดกึ๋น! “รมว.คลัง-พลังงาน” คนใหม่_S2T (เว็บ)_0.jpg

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่? หลัง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แม้จะมีข้อกำหนดเป็นรัฐบาลเพียง 4 เดือน แต่ดูเหมือนอนุทินจะเร่งสร้างผลงาน เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน 

และสิ่งที่ตลาดทุนจับตา คือทีมเศรษฐกิจ ที่มีข่าวออกมาอย่างแพร่หลาย คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่จะนั่ง รมว.คลัง และอีกฝั่งอย่าง กระทรวงพลังงานงาน ที่มีชื่อ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ของ PTT 

รายชื่อทั้ง 2 ที่ปรากฏขี้นมาบนโผรัฐบาลอนุทิน สร้างเสียงฮือฮากันอย่างมาก เพราะทั้ง 2 คือ ผู้ที่อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นมาอย่างยาวนาน แต่ต้องจับตากันต่อไปว่า ในระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจได้หรือไม่ และที่สำคัญ จะปลุกกระแสนิยมให้กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้แค่ไหน

ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ตลาดคาดว่าจะเริ่มหันมาสนใจการบริหารประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 

สำหรับ กระทรวงที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นโดยตรง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นั่ง รมว.คลัง และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ของ PTT ประจำการที่ รมว.พลังงาน 

กระทรวงการคลัง จะมีบทบาทสูงในการออกมาตรการเศรษฐกิจ คาดจะเน้นมาตรการระยะสั้น อาทิ “คนละครึ่ง” หรือลดหย่อนภาษี หุ้นได้ประโยชน์จะเป็นหุ้นห้างฯ และ ค้าปลีก ได้แก่ CRC, GLOBAL, HMPRO, COM7, MTC 

ด้าน กระทรวงพลังงาน คาดจะลดการใช้มาตรการที่ลบต่อหุ้นกลุ่มนี้ เช่น โรงไฟฟ้า น้ามัน หุ้นได้ประโยชน์ BGRIM, GULF, OR

นโยบายของ ดร.เอกนิติ จะมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและแก้ไขปัญหาปากท้อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่ม ค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม และ การท่องเที่ยว 

ในขณะที่นโยบายของนายอรรถพลจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ พลังงานสะอาด และ EV ควบคู่ไปกับการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจะส่งผลบวกอย่างมากต่อกลุ่ม พลังงานหมุนเวียน, ยานยนต์ไฟฟ้า และ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Data Center นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐของรัฐบาลโดยรวมยังเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับกลุ่ม ผู้รับเหมา, วัสดุก่อสร้าง และ โลจิสติกส์ อีกด้วย

เปรียบเสมือนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกลไกสองส่วน ส่วนหนึ่งคือกำลังซื้อของประชาชนที่ถูกเติมเชื้อเพลิงด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของ ดร.เอกนิติ และอีกส่วนหนึ่งคือเครื่องยนต์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยี EV ตามวิสัยทัศน์ของนายอรรถพล ซึ่งทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเติบโตและเสถียรภาพให้กับประเทศ

โดยผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจดังต่อไปนี้

1.กลุ่มค้าปลีกและพาณิชย์ (Retail and Commerce)

ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่านโครงการ "คนละครึ่ง" และมาตรการลดหย่อนภาษีซึ่งจะเพิ่มกาลังซื้อในภาคครัวเรือน

บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีแนวโน้มได้รับผลบวก ได้แก่ ADVICE, AJA, B52, BEAUTY, BIG, COM7, CPALL, CPAXT, CRC, DOHOME, GLOBAL, HMPRO, ILM, KAMART, MC, MEGA, MOSHI, OR, PTG, RS, SINGER, SPC, SPI, SVT, TAN และ WSOL ซึ่งหลายบริษัทยังคงมีการเติบโตในระดับปานกลางและได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภค

2.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage)

การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน จะส่งผลให้การบริโภคสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น โดยบริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีแนวโน้มได้รับผลบวก 

ได้แก่ AAI, APURE, ASIAN, AU, BR, CBG, CH, COCOCO, CPF, GLOCON, HTC, ICHI, ITC, JDF, KCG, KSL, LST, M, MALEE, NRF, NSL, OKJ, OSP, PQS, PRG, SAPPE, SAUCE, SNNP, SNP, SORKON, SUN, TACC, TFG, TFMAMA, TIPCO, TKN, TU, TVO, TWPC, XBIO, XO และ ZEN ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวโน้มการเติบโตที่เป็นบวกจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ

3. กลุ่มการท่องเที่ยวและโรงแรม (Tourism and Hotels)

นโยบายที่ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวชุมชน รวมถึงการที่การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2568 จะยิ่งส่งเสริมการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว

บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีแนวโน้มได้รับผลบวกอย่างสูง ได้แก่AAV, AOT, ASAP, ASIA, AWC, BA, BAFS (ทางอ้อมจากการเดินทางทางอากาศ), BEYOND, CENTEL, MINT, OHTL, SHANG, SHR, SPA และVRANDA ซึ่งคาดว่าจะมีจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 40 ล้านคนในปี 2568

4.กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรรม (Contractors)

การลงทุนภาครัฐจากการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นแรงหนุนสาคัญต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีแนวโน้มได้รับผลบวก ได้แก่ 24CS, ARROW, BJCHI, CIVIL, CK, DEMCO, ITD, JR, PYLON, RT, SEAFCO, STECON, STI, STPI, SYNTEC, TEAMG, TEKA, TRC, TRITN, TTCL และ UNIQ ซึ่งหลายแห่งมีความเชี่ยวชาญในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเติบโต

5.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials)

ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างจาก โครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีแนวโน้มได้รับผลบวก ได้แก่ CCP, CMAN, DCC, DRT, GEL, Q-CON, SCC, SCCC, SCGD, SCP, SKN, STECH, TASCO, TOA, TPIPL, UMI, VNG และ WINDOW ซึ่งหลายแห่งมีการเติบโตที่มีเสถียรภาพและผูกกับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน