จับตา"แจ็คสันโฮล"...จุดเปลี่ยนตลาดโลก พาวเวลส่งสัญญาณดอกเบี้ย? ดอลลาร์-ทองคำผันผวน ฮั่วเซ่งเฮงแนะทยอยสะสม เมื่อราคาย่อตัว
เวที Jackson Hole Symposium กลายเป็นสปอตไลต์ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง!
ปีนี้สถานการณ์แตกต่างจากปีก่อน เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ สะดุด ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแรง แต่เงินเฟ้อกลับเร่งขึ้น
การแถลงของ เจอโรม พาวเวล จะเป็นจุดตัดสินชี้ชะตาดอกเบี้ย ดอลลาร์ และราคาทองคำ
ฮั่วเซ่งเฮง แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมทองคำเมื่อราคาย่อตัว พร้อมจับตาการประชุมเฟดประจำปี ที่เมืองแจ็คสัน โฮล วันที่ 21–23 สิงหาคม ภายใต้หัวข้อ “ตลาดแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน: ประชากรศาสตร์ ประสิทธิภาพการผลิต และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค”
ไฮไลต์อยู่ที่การกล่าวสุนทรพจน์"เจอโรม พาวเวล"
ทุกสายตาจับจ้องไปที่การกล่าวสุนทรพจน์ของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ว่าจะส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดหรือไม่? หลังข้อมูลเศรษฐกิจสะท้อนว่าตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ่ลง โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่า 1 แสนตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันเฟดยังต้องเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มีสัญญาณเร่งตัวอาจทำให้พาวเวลยังต้องระวังท่าทีกับการแถลงเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินในช่วงเวลานี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดชี้ทิศทางสำคัญต่อทั้งดอกเบี้ย ดอลลาร์ และบรรยากาศลงทุนทั่วโลก
เหตุผลที่การประชุม Jackson Hole สำคัญ
การประชุม Jackson Hole เป็นการประชุมนโยบายทางเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง โดยการประชุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมประชุมที่ล้วนเป็นบุคคลสำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบการเงินโลก เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายธนาคาร นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ซึ่ง FED มักจะใช้การประชุม Jackson Hole นี้ เพื่ออัปเดตภาวะเศรษฐกิจ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายทางการเงินของ FED ว่าจะไปในทิศทางไหน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย ตลาดตราสารหนี้ ตลาดเงิน รวมถึงตลาดหุ้น
ย้อนรอยปี 2024
การประชุม Jackson Hole ปีที่แล้ว เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ใช้เวทีนี้แถลงว่า ถึงเวลาแล้วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. มีความมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อสูงขึ้นลดลง แต่มีความเป็นไปได้ว่าการจ้างงานจะแย่ลง ซึ่งการประชุมเฟดในเดือนกันยายน ปีที่แล้ว เฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% ถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ปีนี้แตกต่าง
แต่ในปีนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน เศรษฐกิจครึ่งปีแรกของปีที่แล้วและปีนี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง การจ้างงานอ่อนแอลงเหมือนกัน แต่เงินเฟ้อปีที่แล้วมีแนวโน้มลดลง แต่ปีนี้กำลังมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายภาษีทรัมป์ ทำให้ต้องติดตามว่าในปีนี้เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะใช้เวที Jackson Hole ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
ผลกระทบราคาทองคำ
กรณีแรก เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนกันยายน คาดจะส่งผลให้ราคาทองโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยคาดว่าอาจปรับตัวขึ้นไปที่ 3,370-3,380 ดอลลาร์ และอาจขึ้นไปแตะแนวต้านสำคัญ 3,400 ดอลลาร์
กรณีที่ 2 เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังไม่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมเผยรอดูผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากเป็นประเด็นนี้ อาจส่งผลกระทบราคาทองโลกปรับตัวลง ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น คาดราคาทองอาจลดลงไปที่แนวรับ 3,270-3,300 ดอลลาร์
เฟดชี้เงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยงหลัก
ขณะที่ Shining Gold Bullion ระบุว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMc) เมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของเฟด (FED) ว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนักมากกว่าความอ่อนแอของตลาดแรงงาน
จากบันทึกการประชุม พบว่า กรรมการส่วนใหญ่ใน 18 คน เห็นตรงกันว่าเงินเฟ้อซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% มานาน เป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้าม โดยมีปัจจัยเสริมคือ มาตรการภาษีนำเข้า (TARIFFS) ที่อาจทำให้ราคาสินค้าและบริการยังคงสูงต่อเนื่องในระยะยาว หากผลกระทบลากยาวไป ก็เสี่ยงทำให้ความคาดหวังด้านเงินเฟ้อของผู้บริโภค "หลุดกรอบ" แม้เฟดจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.5%
แต่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยังสูง ข้อมูลแรงงานล่าสุดชี้ว่า การจ้างงานชะลอตัว และอัตราว่างงานขยับขึ้นสู่ 4.2% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อาจกำลังสูงสูญเสียแรงส่งบางส่วน
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยอมรับว่า ผลกระทบเงินเฟื้อจากภาษีอาจเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เตือนว่า เฟดจำเป็นต้องระวังความเสี่ยงหากแรงกดดันด้านราคากลายเป็นถาวร ขณะเดียวกันคณะกรรมการก็ยังถกเถียงถึงเสถียรภาพการเงินและความกังวลว่าตลาดสินทรัพย์บางประเภทมีมูลค่าสูงเกินจริง
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายการเงินไม่เคยง่ายต่อการตัดสินใจ เฟดยังต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการกดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย กับการประคับประคองตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง
คำถามสำคัญคือ....เศรษฐกิจสหรัฐจะรับแรงกดดันนี้ได้นานแค่ไหน และเฟดจะเลือกเดินหมากแบบใดต่อไป?