“ดร.นิเวศน์” ลั่นตลาดหุ้นเวียดนาม มุ่งสู่ “ดวงจันทร์” เชื่อ 2-3 ปีดัชนีพุ่งแรง ชี้ตอนนี้วอลุ่มเทรดแซงไทย-สิงคโปร์
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้าของไทย ได้เผยแพร่บทความผ่าน settrade โดยกล่าวว่า วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เป็นวันครบรอบ 25 ปี ของการเปิดตลาดหุ้นเวียดนาม ผมนั่งดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วก็รู้สึกทึ่งและก็พยายาม “อ่าน” ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ผ่านมาตลอด 25 ปี นั้น “บอกอะไร” กับเรา และอนาคตนับจากนี้ไปอย่างน้อยอีกหลายปีจะเป็นอย่างไรต่อไป
ประเด็นแรกก็คือ ถึงสิ้นปีที่แล้ว ดัชนี VN ของเวียดนามอยู่ที่ 1,267 จุด นั่นแปลว่าภายในเวลาประมาณ 24 ปี ครึ่ง ดัชนีหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นจาก 100 จุดขึ้นมาประมาณ 12.7 เท่า หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.9% ซึ่งถ้ารวมเงินปันผลก็น่าจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 13% ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในประวัติศาสตร์
โดยจากต้นปี 2568 ถึง วันที่ 2 เมษายน 2568 ดัชนีเวียดนามขึ้นไปเป็นประมาณ 1,316 จุด ก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรง และภายในวันที่ 9 เมษายนหรือเพียง 7 วัน ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 1,095 จุด หรือลดลงถึง 16.8% เนื่องจากคำประกาศเพิ่มภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เวียดนามจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% ซึ่งจะมีผลทำให้การส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐที่เป็นตลาดหลักที่ใหญ่โตมากต้องสะดุดหยุดลงและจะกระทบต่อเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาไม่กี่วัน ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามก็เริ่มปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนคาดว่าเวียดนามจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้และจะทำให้อัตราที่ได้รับสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นทั่วโลกที่ก็ถูกประกาศเพิ่มอัตราภาษีรุนแรงเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ รัฐบาลเวียดนามพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดต่ออเมริกา คือไม่เก็บภาษีข้าเข้าสินค้าจากสหรัฐเลย
ผลสุดท้าย เวียดนามก็สามารถตกลงกับอเมริกาได้เป็นประเทศแรก ๆ และได้ดีลที่ดีที่ 20% ในสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและส่งออกไปที่อเมริกา ผลก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามตอบรับมาอย่างต่อเนื่อง ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปจนถึง 1,531 จุดในวันที่ 25 กรกฎาคม 68 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 40% ภายในเวลาเพียง 3-4 เดือน และเป็น All Time High ของตลาดหุ้นเวียดนามและนับจากต้นปีก็เพิ่มขึ้นถึง 20.8% ก่อนจะปรับตัวลงมาบ้างและปิดล่าสุดที่ 1,495 จุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568
แต่คำถามสำคัญก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามร้อนแรงเกินไปหรือยัง ถึงเวลาที่หุ้นจะต้องชะลอตัวลงหลังจากปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเร็ว ๆ นี้หรือยัง พูดง่าย ๆ เราควร Take Profit หรือขายหุ้นทำกำไรไหม? หรือสำหรับคนที่ยังไม่มีหุ้นเวียดนามหรือมีน้อย เราควรเข้าไปเก็บหุ้นเพิ่มหรือไม่?
คำตอบของผมก็คือ ช่วงเวลานี้ของเวียดนาม ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสดใส ประเด็นที่น่าห่วงหรือเรื่องที่ไม่ดีต่อการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นดูเหมือนจะลดลงไปมาก แต่เรื่องดี ๆ ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น กำลังทยอยมาอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากภาษีทรัมป์ที่ดูเหมือนว่าเวียตนามจะได้เปรียบชาติอื่น
โดยเศรษฐกิจเวียดนามล่าสุดดูเหมือนว่าจะยังดีต่อเนื่องและรัฐบาลยังตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่สูงในระดับ 8% ขึ้นไป ซึ่งถือว่ามองโลกในแง่ที่ดีมาก โดยปัจจัยสนับสนุนหลักก็คือ การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่คาดว่ายังดีมาก การลงทุนจากต่างประเทศล่าสุดที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดเช่นเดียวกับการลงทุนของรัฐ นอกจากนั้น การท่องเที่ยวจากต่างชาติก็เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่ตอนนี้ไปเที่ยวที่เวียดนามมากกว่ามาไทยไปแล้ว
และข่าวสำคัญที่จะตามมาในอีกไม่กี่เดือนก็คือการที่ดัชนีฟุตซี่ FTSE น่าจะปรับให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market ที่จะทำให้มีเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลก็เพราะตลาดหุ้นเวียดนามมีการพัฒนาขึ้นมากในด้านของการซื้อ-ขายหุ้น สำหรับต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการใช้โปรแกรมเทรดหุ้นใหม่ KRX ที่ทันสมัยที่ทำให้สามารถรองรับการเทรดและ การเคลียร์บัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเร็ว ๆ นี้ เพิ่มขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียนแซงไทยและสิงคโปร์ไปแล้วที่วันละ 4-50,000 ล้านบาทต่อวัน และบางวันก็สูงเกือบแสนล้านบาทแล้ว และนั่นรองรับด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากกว่า 10 ล้านบัญชีและยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือนเดือนละนับแสนราย พูดง่าย ๆ ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามกำลัง “ร้อนเป็นไฟ”
ปริมาณการซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์และโบรกเกอร์ใหญ่ ๆ หลายรายปล่อยกู้จนถึงเพดานไม่สามารถปล่อยเพิ่มได้แล้ว ซึ่งทำให้ดู “น่ากลัวมาก” ถ้าวันหนึ่งหุ้นตกลงมาจนนักลงทุนถูก Force Sell ซึ่งอาจทำให้ตลาดถล่มทลาย
นอกจากนั้น ข่าวเกี่ยวกับความคิดของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นของบุคคลธรรมดาซึ่งอาจจะสูงถึง 20% ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากแม้ว่าวันนี้นักลงทุนยังไม่ได้ตระหนักว่ามันอาจจะทำลายการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้
และนั่นทำให้เราต้องมาคิดและประเมินถึง “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลานี้ว่า หุ้นแพงเกินไปไหม?
คำตอบของผมก็คือ การฟื้นตัวหรือปรับตัวของหุ้นเวียดนามในรอบประมาณ 6-7 เดือนที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่เป็นการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่หรือยักษ์จำนวนไม่กี่ตัวเป็นหลัก คร่าว ๆ ก็คือแค่หุ้นกลุ่ม “VIN Group” ที่ประกอบด้วยตัวหลักคือVIC VHM และ VRE ที่ทำธุรกิจใหญ่โตมากในด้านของอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านจัดสรรและห้างสรรพสินค้า รถยนต์ และอื่น ๆ
ราคาหุ้นของกลุ่ม วินกรุ๊ปที่เคยตกต่ำมากเพราะมีปัญหาทางการเงินเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างแรงเพราะสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มเริ่มดีขึ้นมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 100% ในเวลาไม่กี่เดือนจนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของตลาดหุ้น การปรับตัวขึ้นของหุ้นเพียง 3-4 ตัวดังกล่าวมีส่วนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นไปกว่า 10% แล้ว จากทั้งตลาดที่ปรับตัวขึ้นไป 18% นับจากต้นปี
ซึ่งนั่นก็อาจจะคล้าย ๆ กับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าของอเมริกาที่ปรับตัวขึ้นไปมโหฬารโดยที่หุ้นอื่น ๆ ทั้งตลาดโตขึ้นน้อยมาก หรือคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นยักษ์บางตัวราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและมีผลกับดัชนีตลาดอย่างมาก
ว่าที่จริง หุ้นในพอร์ตเวียดนามของผมเองที่เป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” จำนวนประมาณ 6-7 ตัวที่เคยสร้างผลงานยอดเยี่ยมในปี 2567 พอถึงปีนี้ที่ดัชนีหุ้นขึ้นไปมากแต่พอร์ตผมก็ยังขาดทุนอยู่ และต้องเฝ้าดูหุ้นกลุ่มอื่นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการก็ยังไม่ดี มีแต่ “สตอรี่” ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน ราคาหุ้นขึ้นเอา ๆ ทั้งที่ราคาหุ้นคิดเป็น PE ก็สูงมากอยู่แล้ว
แต่อย่างไรผมเองก็คงไม่เปลี่ยนตัวหุ้นที่ลงทุน ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแบบผมนั้น ก็ต้องมีเวลาที่จะแย่กว่าตลาดหรือหุ้นกลุ่มอื่น เพียงแต่ว่าโดยเฉลี่ยทั้งปีที่ดีและปีที่แย่ ผมจะได้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดแค่นั้นก็พอ และผมก็หวังแค่ว่าเวลาที่เหลือของปีนี้ พอร์ตเวียดนามของผมจะตีตื้นขึ้นมาเสมอตัวก็พอใจแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ลงทุนกองทุนอิงดัชนีเวียดนาม ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดการเลือกหุ้นที่ผิดพลาดและทำให้ผลตอบแทนการลงทุนแย่ สิ่งที่จะต้องคำนึงก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรปีนี้และปีต่อ ๆ ไป และนั่นทำให้ผมต้องปรึกษากับประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเวียดนามว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร
ตลอด 25 ปี นั้น ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 18 ปี และปรับตัวลดลงเพียง 7 ปี คิดไปแล้วเท่ากับโอกาสปรับขึ้นเป็น 2.57 เท่าของการปรับลง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น ปีที่หุ้นปรับตัวขึ้นน่าจะไม่เกิน 1.5 เท่าของการปรับตัวลง ซึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
นอกจากนั้น ถ้าไม่นับช่วงที่เวียดนามเปิดตลาดใหม่ ๆ ในช่วง 5 ปีแรกที่ตลาดยังไม่พร้อม ก็จะพบว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 15 ปี และปรับตัวลงแค่ 5 ปี หรือปีหุ้นขึ้นนั้นประมาณ 75% และปีที่ตลาดตกแค่ 25% ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีมากน่าจะเท่า ๆ กับตลาดสหรัฐในช่วงเวลาหลาย ๆ สิบปีที่ผ่านมา
ว่าที่จริง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคือตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามติดลบแค่ 2 ปีคือปี 2561 ที่ -9.3% และปี 2565 ที่ 32.8% อานิสงค์จากปัญหาหุ้นกู้เป็นหนี้เสียของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการจับการโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนครั้งใหญ่ที่โกงเงินแบ้งค์ครั้งมโหฬารคิดเป็นเงินถึงกว่า 400,000 ล้านบาท แล้ว ที่เหลืออีก 8 ปี ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นบวกทุกปีเฉลี่ยแล้วปีละ 18.9%
ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้และปีต่อไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี น่าจะเป็นปีที่สดใสและดัชนีตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสวิ่ง “ติดจรวดสู่ดวงจันทร์” ได้ เพราะประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจาก Frontier เป็น Emerging Market ในกรณีของ MSCI ที่เวียดนามคาดว่าจะได้เข้าดัชนีในอีกไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นมักจะวิ่งขึ้นแรงกว่าปกติมาก และหุ้นเวียดนามก็น่าจะเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน
ยอดนิยม
NEX ผนึก "นครชัยแอร์" ชิงรถเมล์ไฟฟ้า ขสมก. มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท
บจ.ไทยเงินหนา! ปี 68 ซื้อหุ้นคืนรวมกว่า 3.7 หมื่นลบ. ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทองคำแกว่งตัวตามอารมณ์ตลาด วันสุดท้ายก่อนคริสต์มาส วอลุ่มบาง ทองไทยเปิดลบ 100 บาท เจอบาทแข็งกดดัน
กลุ่มอิเล็กฯ กำไรสะดุด เงินบาทแข็งอาจทำพิษ โบรกฯ คาดทุก 1 บาท ฉุดกำไร 7-10%