หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมของไทยเป็นอีกหนึ่งกลุ่มถูกมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯเข้ากดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากทุกอย่างจบได้อย่างคลี่คลายลง ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะเช่นไร ทางสำนักข่าว Share2Trade ก็ได้นำมุมมองจากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้นํ้าหนักลงทุนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไทยเป็น“OVERWEIGHT” จากการยื่นคําขอและการอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง แม้มีความกังวลต่อภาษีของสหรัฐฯ รวมทั้งยอดขายที่ดินไม่สะดุดและราคาที่ดินยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยความกังวลต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลให้การเติบโตของ FDI ในไทยชะลอตัวลง มูลค่าการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI พุ่งขึ้น 139% จากช่วงเดียวกัน เป็น 1.1 ล้านล้านบาท ในครึ่งปีแรกปี 67 โดยมูลค่าในไตรมาส 2/68 หลังประกาศมาตรการภาษีครั้งแรกอยู่ที่ 6.77 แสนลบ. ซึ่งสูงกว่ามูลค่าในไตรมาส 1/68 ที่ 3.81 แสนล้านบาท
แม้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าดังกล่าวจะมาจากกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ แต่กลุ่มที่มีมูลค่ารองลงมา คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และยังมีการลงทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ยานยนต์ เกษตรกรรม และอาหาร อีกด้วย แม้ดาต้าเซ็นเตอร์ จะไม่ได้เชื่อมโยงกับภาษีสหรัฐมากนัก แต่ยังคงมีความต้องการโยกย้ายฐานจากธุรกิจที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ดังนั้น จึงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายที่ดินและกําไรของบริษัทในปี 2568 ประกอบไปด้วย
WHA ยอดขายที่ดิน 2,450 ไร่ (ไม่เปลี่ยนแปลง) กำไร 5,230 ล้านบาท (ไม่เปลี่ยนแปลง)
AMATA ยอดขายที่ดิน 1,600 ไร่ (เพิ่มขึ้น 14% จากเดิม 1,400 ไร่) กำไร 3,146 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 51% จากเดิม 2,076 ล้านบาท)
ROJNA ยอดขายที่ดิน 1,000 ไร่ (เพิ่มขึ้น 100% จากเดิม 500 ไร่) กำไร 2,133 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 394% จากเดิม 431 ล้านบาท)
PIN ยอดขายที่ดิน 400 ไร่ (ไม่เปลี่ยนแปลง) กำไร 950 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17% จากเดิม 808 ล้านบาท)
สุดท้าย ราคาหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไทยลดลงเฉลี่ย 22-41% จากต้นปีถึงปัจจุบัน เนื่องจากความกังวลต่อมาตรการภาษีสหรัฐฯ แต่ด้วยยังคงมีการไหลเข้าของ FDI อย่างต่อเนื่อง หุ้นทั้งสี่ ตัวนี้จึงมีมูลค่าที่ดีและราคาเป้าหมาย และมูลค่า breakup values ของแต่ละหุ้นได้ ซึ่งในกรณีที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ออกมาระดับเดียวกับประเทศในอาเซียนที่ราว 20% จะเป็นอัพไซด์ โดย AMATA เป็น Top Pick ตามด้วย WHA, ROJNA และ PIN
สำหรับคำแนะนำรายตัว AMATA เป็น deep value stock และคงคําแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27 บาท โดยซื้อขายใกล้กับ breakup value ในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ 14.4 บาท/หุ้น ซึ่งหมายความว่าราคานี้ยังไม่ได้นับรวมธุรกิจในเวียดนาม รวมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้าที่มีกําไรสูง แต่ราคาหุ้นยังกลับมาซื้อขายที่ระดับตํ่าสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ P/BV 0.8 เท่า ทั้งที่ธุรกิจหลักยังแข็งแกร่งและงบดุลมั่นคง โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สุทธิต่อทุนในปี 2568 จะอยู่ที่เพียง 0.5 เท่า เท่านั้น
WHA แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท เพราะมองว่าเป็นหุ้นสําคัญที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รอบใหม่ของประเทศไทย บริษัทสามารถจับโอกาสจากการไหลเข้าของ FDI ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงยังคงมองว่ามูลค่าหุ้นของ WHA ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PE ที่เพียง 10 เท่า และยังมีอัพไซด์
ROJNA ยังคงคําแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.60 บาท โดยบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่กําลังเติบโต และราคาหุ้นยังดูถูก เมื่อพิจารณาจากหลายมุมมอง ด้านมูลค่ายังมองว่ามีมูลค่าที่ไม่แพงเมื่อพิจารณา P/E ด้วยซื้อขายที่เพียง 5 เท่า รวมถึง P/BV เพียง 0.5 เท่า
PIN ได้ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท โดยหลังประสบปัญหาการขาดแคลนที่ดินเพื่อขายตั้งแต่ปีก่อน นิคมฯ ใหม่ 2 แห่ง มีกําหนดเปิดตัวในครึ่งปีหลังปี 68 และครึ่งปีแรกปี 69 เพื่อรองรับความต้องการที่ดินที่เพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าการเปิดนิคมใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ปลดล็อค” ราคาหุ้นให้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงมากขึ้น ดังนั้นหุ้นซื้อขายที่ P/E เพียง 6 เท่า มองว่าหุ้นมีมูลค่าตํ่าไป
ยอดนิยม
_0.jpg)
"กลุ่มมิตซูบิชิ" เสนอซื้อหุ้น TU ที่ราคา 12.50 บาท จำนวน 532 ล้านหุ้น เตรียมขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง
%20copy_0.jpg)
THAI หวนเทรดวันแรก! โบรกฯ ชี้ถ้าเปิดต่ำกว่า 7.65 บาท “เป็นโอกาสซื้อ” เตือนยังเสี่ยงรัฐแทรกแซง
_0.jpg)
4 มหาลัยดัง อู้ฟู่! ติดอันดับถือหุ้นใหญ่ "การบินไทย" มูลค่ารวมกันกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
_0.jpg)
โบรกฯ ชี้หุ้นน้ำมัน-โรงกลั่น อาจขาดทุนสต็อก เหตุโอเปกเพิ่มกำลังผลิต แถมเวเนซุเอลาส่งน้ำมันไปสหรัฐฯได้
.jpg)