Talk of The Town

วิเคราะห์หุ้นเด่น รับมาตรการภาษีสหรัฐฯ


01 สิงหาคม 2568

หลังจากที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน ล่าสุดสหรัฐฯก็ได้ประกาศตั้งกำแพงภาษีกับไทย ที่ 19% โดยให้มีผล 1 ส.ค. 68 เป็นต้นไป ซึ่งผลที่ออกมาจะส่งต่อตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด ทางสำนักข่าว Shrae2Trade ได้รวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์มานำเสนอกันในครั้งนี้

วิเคราะห์หุ้นเด่น_S2T (เว็บ) copy.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ไทยได้ดีลภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tariff) ภาษีจากสหรัฐ อัตรา 19% ดีกว่ากรณีฐานที่คาดไทยจะได้ภาษี 25% และน่าจะดีกว่ามุมมองตลาดเล็กน้อย ขณะที่ถือว่าใกล้เคียงกับ อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อัตราภาษี 19% แต่ต่ำกว่าเวียดนาม 20% หนุนศักยภาพการแข่งขันเชิงเปรียบเทียบระยะกลาง-ยาว

โดย Effective tariff rate (ETR) ของไทยจะอยู่ราว 18.4% ต่ำกว่าระดับอินโดนีเซีย ETR 26%แต่ใกล้เคียงกับเวียดนาม ขณะที่น่าจะได้เปรียบองค์ประกอบสินค้าสวมสิทธิ์ (Transhippment) ที่ไทยมีประเด็นต่ำกว่าเวียดนาม และคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยจะตอบรับเชิงบวกวันนี้ในกรอบ 1230-1260 จุด และในระดับเดือน 1295 -1330 จุด

กลยุทธ์เน้นหุ้น กลุ่ม Reopening Trade ที่ Deep Value อาทิ นิคมฯ WHA, AMATA ที่ซื้อขาย P/E และ P/BV25F ในระดับต่ำ ส่วน Export ให้ Selective KCE, HANA นอกจากนี้ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์การเพิ่มระดับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ คาดนำเข้าก๊าซ  PTTGC, GPSC, BGRIM รวมถึงกลุ่มที่คาดต้นทุนลดลง ADVANC, COM7, ADVICE, INSET

หลังจากนี้ คาดตลาดจะรอติดตามประเด็นว่าไทยให้ข้อเสนอใดกับสหรัฐฯบ้าง โดยเบื้องต้นอิงกระแสข่าวก่อนหน้า ได้แก่ เปิดเสรีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯราว 90% , เร่งการนำเข้าสินค้า อาทิ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบินจากสหรัฐฯ ส่วนประเด็นอื่นๆ อิงกรอบการเจรจาประเทศอื่นช่วงก่อนหน้า อาทิ การเปิดให้สหรัฐฯเข้ามาลงทุน (หนุน Infra Tech) หรือไปลงทุนในสหรัฐฯ (บวกต่อหุ้นที่มีศักยภาพ อาทิ PTT GULF)

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองเป็น POSITIVE SURPRISE เล็กน้อย ที่อัตราภาษีตอบโต้ของบ้านเราอยู่ในระดับต่ำกว่าเวียดนาม (20%) ลาวและพม่า (40%) คาดลดความกังวลต่อผลกระทบภาคส่งออกทรุดหนัก (กรณีไม่ถูกลดภาษี) รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)

หามองในมุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ในระดับอัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% ถือเป็นระดับใกล้เคียงกับทาง ธปท.ประเมินไว้โดยภายใต้สมมติฐานไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (RECIPROCAL TARIFF) 18% (ครึ่งหนึ่งของที่เคยประกาศไว้ ณ วันที่ 2 เมษายน 2568) และจีนถูกเรียกเก็บ 30% ขณะที่ประเทศอื่นถูกเรียกเก็บ 10%

คาดการณ์ว่า GDP GROWTH ไทยปี 2568 จะเติบโต 2.3% ซึ่งระดับอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าว ที่ไทยดูไม่ได้เสียเปรียบมากนัก คาดลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขยายตัวต่ำกว่า 2% ซึ่งจะทำให้โอกาสเกิด TECHNICAL RECESSION (GDP GRWOTH ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน) ในปีนี้ลดลงตามไปด้วย

หลังจากที่รู้ตัวเลข TRADE TARIFF ของไทยอยู่ระดับ 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นการโล่งใจระดับหนึ่งว่าประเทศเราไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่น โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่า SET INDEX ระดับปัจจุบันน่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่มเติมจาก 2 เหตุผลหลักๆ ดังนี้

1.เปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้นจากต้นปีถึงปัจจุบันจะพบว่าตลาดหุ้นไทยลดลง 11.3% ยัง LAGGARD กว่าประเทศที่ถูกภาษี 19% อาทิ มาเลเซีย ลดลง 7.9%, ฟิลิปปินส์ ลดลง 4.2%, อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 5.7% และถูกเวียดนาม เพิ่มขึ้น 18.6% ทิ้งห่างอยู่มาก

2. SET ขึ้นแบบกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน โดยจะเห็นได้ว่าดัชนีในครั้งนี้ทยอยปรับตัวขึ้น (23 มิ.ย. – 31 ก.ค.) ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบ่งบอกของการปรับตัวขึ้นของ SET ที่แข็งแรง ไม่เหมือนในอดีต (20 มี.ค.-8 พ.ค.) ที่แม้จะปรับตัวขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นนั้นกระจุกตัว ซึ่งมักตามมาด้วยการปรับฐานของดัชนีได้ง่ายกว่า

ทั้งนี้ ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับ ดัชนีที่ระดับปัจจุบันมีมูลค่าเด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTHในปีนี้ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดีในการสะสมหุ้นไทย โดยขอแบ่งกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 ธีม 1.หุ้น SET 100 กลุ่ม TARIFF PLAY ที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ต้นปี อาทิ นิคม(AMATA, WHA) ส่งออก(ITC, STGT, STA, TU, CPF, BTG, TFG) และ 2.หุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าและลดดอกเบี้ย อาทิ BH, BDMS, ERW, CENTEL, MTC, SAWAD

วิเคราะห์หุ้นเด่น_S2T (เพจ) copy.jpg