ผู้นำในธุรกิจกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ทั้งในไทยและต่างประเทศ ธุรกิจสุขภัณฑ์ในไทย และธุรกิจให้บริการนิคมอุตสาหกรรม อย่างบริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD
โดยภายหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2568 SCGD อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 247.5 ล้านบาท (อัตราส่วนการจ่ายปันผลที่ 56%) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2/2568 บริษัทยังคงมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 28.3% และหากไม่รวมผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือ Non-Recurring อาทิ ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ 15.2% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.8% สูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2/2567
บริษัทสามารถลดต้นทุนพลังงานต่อตารางเมตรอยู่ที่ 29 บาท ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่บริษัทมีธุรกิจอยู่ เช่น ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย โดยมี 4 กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ดังนี้
1.ลดต้นทุนด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12% ทำให้เกิดการลดต้นทุนได้ 16 ล้านบาทต่อปี จากเป้าหมายการใช้พลังงานใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 15% ในปี 2573
รวมถึงใช้พลังงานความร้อนจากเชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 22% ทำให้เกิดการลดต้นทุนได้ 20 ล้านบาทต่อปี จากเป้าหมายการใช้พลังงานความร้อนจากเชื้อเพลิงชีวมวล 46% ในปี 2573 รวมเป็นต้นทุนที่สามารถลดได้ทั้งสิ้น 36 ล้านบาทต่อปี
2.ลดต้นทุนวัตถุดิบ บริษัทได้เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถลดต้นทุนได้ 14 ล้านบาท และคาดว่าจะลดต้นทุนเพิ่มได้อีกกว่า 16 ล้ำนบาทในครึ่งหลังของปี 2568 รวมเป็นต้นทุนที่สามารถลดได้ทั้งสิ้น 30 ล้านบาทต่อปี
3.ปรับโครงสร้างธุรกิจและลดเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการใช้ AI และระบบ digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ใช้ระบบอัตโนมัติในการเปิดแม่พิมพ์สุขภัณฑ์ เคลื่อนย้ายชิ้นงานสุขภัณฑ์ และพ่นเคลือบสี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แม้ในไตรมาสนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (Non-Recurring) จากการปรับโครงสร้างอยู่ที่ 76 ล้านบาท แต่ก็ทำให้สามารถลดต้นทุนของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 60 ล้านบาทต่อปี และจากการบริหารเงินทุนหมุนเวียน บริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้ำ และจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถลดต้นทุนจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและลดเงินทุนหมุนเวียนได้อีก 80 ล้านบาทต่อปีรวมเป็นต้นทุนที่สามารถลดได้ทั้งสิ้น 140 ล้านบาทต่อปี
4.เพิ่มศักยภาพการแข่งขันผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ของผู้เล่นระดับโลก ผสานเข้ากับความสามารถด้านต้นทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้สืบเนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดประเทศเวียดนาม ที่ส่งผลให้ปริมาณยอดขายเติบโต 21% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความต้องการในประเทศและความสามารถในการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสามารถบริหารต้นทุนขายให้เทียบเท่าผู้เล่นระดับโลกได้ บริษัทจึงมีกลยุทธ์การดำเนินงานดังนี้
4 กลยุทธ์ การเติบโตยอดขาย
1. ตั้งเป้าให้ประเทศเวียดนามเป็นฐานส่งออกที่สำคัญ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ประเทศเวียดนามมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 27.3% และสามารถและเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆเพิ่มเติม ได้แก่ สิงคโปร์ เม็กซิโก และสาธารณรัฐเช็ก
2.เพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากระเบื้องเกรซพอร์ซเลน ในประเทศเวียดนาม อีก 5 ล้านตารางเมตร ในปี 2568 คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 19 ล้านตารางเมตร และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 45 ล้านตารางเมตร ในปี 2573 โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเพื่อตอบรับความต้องการในประเทศ และปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้น
3.เพิ่มการนำเข้ากลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง เพื่อเพิ่มความหลากหลายของพอร์ตสินค้าในประเทศไทย โดยอาศัยศักยภาพด้านการจัดหาที่แข็งแกร่งของบริษัท ในครึ่งปีแรกบริษัทมีสัดส่วนการนำเข้ากลุ่มสินค้ำที่มีการเติบโตสูงเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่อง (Complementary) เช่น ปูนกาว ยาแนว กาวซีเมนต์ บานประตูหน้าต่าง ท็อปครัว ซึ่งเป็นสินค้าในกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท มีสัดส่วนการนำเข้ามาจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 58% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า
4. เติบโตพอร์ตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added, HVA) ซึ่งมี margin สูงกว่าสินค้า Commodity กว่า 5-10% โดยสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 37%
ส่องแนวโน้มครึ่งปีหลัง
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่สดใส โดยเฉพาะตลาดประเทศเวียดนามที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยโรงงานของบริษัทในประเทศเวียดนามก็มีความพร้อมด้านต้นทุนที่แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ ส่งเสริมการเป็นฐานส่งออกที่สำคัญของบริษัท ส่วนประเทศอินโดนีเซียที่ความต้องการสินค้าจากตลาดในประเทศเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาครัฐมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การที่ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงทางภาษีกับประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว
ส่วนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568 ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักร เพื่อขยายความสามารถในการผลิต Glazed Porcelain โรงงานกระเบื้อง Pho Yen ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามเฟส 2 ด้วยกำลังการผลิต 2.5 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยโครงการมีเงินลงทุน 65.5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2568 มีความคืบหน้าของโครงการ 80%
ด้านโครงการขออนุมัติใหม่ในไตรมาสที่ 3/2568 คือ 1. โครงการติดตั้งระบบ Biomass Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมอุตสาหกรรมหนองแค NKIE จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย โดยมีกำหนดแล้วเสร็จไตรมาสที่ 1/2569
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
SCC แจกหนัก! ปันผลกลางปี 2.5 บาท คิดเป็น 92% ของกำไร หลัง Q2 ฟันกำไร 1.7 หมื่นล้าน โต 368%
%20copy_0.jpg)
BH เผยกำไรครึ่งปีลดลง 8.3% เหตุรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ-ไทยหด บอร์ดเคาะปันผลระหว่างกาล 2 บาท
%20copy_0.jpg)
สื่อนอกตีข่าว! สหรัฐฯ ปิดดีลภาษีกับไทยแล้ว โบรกฯ ชี้เป็น Sentiment บวกต่อ SET
%20copy_0.jpg)
หุ้นไทยวิ่งแรง แต่เสี่ยงสะดุด! จับตา 1 ส.ค.นี้ ทางรอด-ร่วง ภาษีทรัมป์ชี้ชะตา SET Index
%20copy_0.jpg)