Talk of The Town

SCGD งบครึ่งปีฟันกำไร 439 ลบ. แจกปันผลระหว่างกาล 0.15 บาท มองครึ่งปีหลังยังสดใสรับดีมานด์ขึ้น


30 กรกฎาคม 2568

SCGD แจงผลงานไตรมาส 2/68 มีกำไร 222 ล้านบาท หนุนครึ่งปีแรกโกยกำไรกว่า 439 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาท ขึ้น XD 8 ส.ค. นี้ ผู้ถือหุ้นรอรับทรัพย์ 27 ส.ค. มองภาพครึ่งปีหลังยังสดใส รับดีมานด์ในตลาดอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้น

SCGD งบครึ่งปีฟันกำไร 439 ลบ._S2T (เว็บ)_0.jpg

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่าสำหรับไตรมาส 2/68 บริษัทมีกำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และ EBITDA อยู่ที่ 803 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ หากพิจารณาผลประกอบการที่ไม่รวมผลกระทบจากรายการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ (Non-Recurring) กำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ 283 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อนหน้า และอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อนหน้า และ EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 5% และลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5,770 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสและ ลดลง 12ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการข้างต้นนั้น ได้รับผลกระทบจากการแปลงค่าเงินสกุลต่างประเทศที่บริษัทมีธุรกิจอยู่(ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย) เป็นเงินบาท ซึ่งหากไม่รวมทั้งผลกระทบจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ (Non-Recurring) และค่าเงินบาทที่แข็งค่าซึ่งเป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงของธุรกิจในประเทศนั้นๆ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถึงแม้ว่ารายได้จะลดลง 8% กำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นและ EBITDA จะเพิ่มขึ้นเป็น 6% และ 2% ตามลำดับ

สำหรับครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีหลังของปีก่อนหน้า และ EBITDA อยู่ที่ 1,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีหลังของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ หากพิจารณาผลประกอบการที่ไม่รวมผลกระทบจากรายการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ (Non-Recurring) กำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ 521 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปีก่อนหน้า 42% และลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

และ EBITDA อยู่ที่ 1,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากครึ่งปีหลังของปีก่อนหน้า และลดลง 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมีบริษัทมีรายได้สำหรับครึ่งปีแรก อยู่ที่ 11,730 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีหลังของปีก่อนหน้า และลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการข้างต้นนั้น ได้รับผลกระทบจากการแปลงค่าเงินสกุลต่างประเทศที่บริษัทมีธุรกิจอยู่(ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย) เป็นเงินบาท ซึ่งหากไม่รวมทั้งผลกระทบจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ (Non-Recurring) และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงของธุรกิจในประเทศนั้นๆ เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังก่อนหน้า

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ารายได้จะลดลงเพียง 2% กำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น และ EBITDA จะเพิ่มขึ้น 47% และ 17% ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จะลดลง 9% กำไรในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นจะลดลง 1% ในขณะที่ EBITDA จะเพิ่มขึ้น 1%

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น รายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 13 สิงหาคม 2568 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 247.5 ล้านบาท (อัตราส่วนการจ่ายปันผล 56% โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568)

สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่สดใส โดยเฉพาะตลาดประเทศเวียดนามที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยโรงงานของบริษัทในประเทศเวียดนามก็มีความพร้อมด้านต้นทุนที่แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ ส่งเสริมการเป็นฐานส่งออกที่สำคัญของบริษัท 

ส่วนประเทศอินโดนีเซียที่ความต้องการสินค้าจากตลาดในประเทศเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาครัฐมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การที่ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงทางภาษีกับประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนปี 2566 และ 6 ธันวาคม ปี 2566 ทั้ง KIA และบริษัทลูก PT KIA Keramik Mas (“KKM”)ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซียต่อศาลปกครองชั้นต้น เพื่อให้ยกเลิกการเรียกร้องที่อ้างว่า KIA มีหนี้เงินต่อหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซีย และให้ยกเลิกการระงับการเข้าระบบจดแจ้งทางทะเบียนกับ Ministry of Law and Human Rights ของ KIA และ KKM ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 2567 ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้อง และ KIA และ KKM ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูง (ศาลอุทธรณ์) แล้วนั้น 

ล่าสุดในเดือนตุลาคมปี 2567 ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนยันตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ดังนั้น KIA และ KKM จึงได้ดำเนินการโต้แย้งต่อศาลฎีกา (Cassation) เพื่อขอให้ทบทวนคำพิพากษาข้างต้นต่อไป ปัจจุบัน คดียังอยู่ระหว่ำงการกระบวนการของกฎหมาย