Talk of The Town

เจาะลึกการเติบโต 4 หุ้นธนาคารรายใหญ่ของไทย


23 กรกฎาคม 2568

จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีแรก 2568 แต่ดูเหมือนว่าทิศทางครึ่งปีหลังกำลังมีความท้าทายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ระวัง! มีแรงกดดันสูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 68

เจาะลึกการเติบโต 4 หุ้นธนาคาร _S2T (เว็บ) copy.jpg

โดยประเมินว่ากลุ่มธนาคารจะเผชิญความท้าทายจาก NIM และคุณภาพสินทรัพย์ในครึ่งหลังของปี จากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่จะอ่อนแอลง ผลกระทบของภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกใน ครึ่งหลังของปี 68

อย่างไรก็ตาม หากเข้ามาสำรวจคาดการณ์การเติบโต ของ 4 หุ้นธนาคารรายใหญ่ พบว่า SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี 2568 คาดกำไรสุทธิของ SCB จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบริษัท Purple Venture เข้ามารบกวน

แต่คาดลดลงจากครึ่งปีแรก กดดันจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายลงทุนตามปัจจัยฤดูกาล รวมถึงแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่จะปรับลดลงต่อ สอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย

ส่วนการตั้งสำรองคาดสามารถปรับลดลงได้เล็กน้อย เพราะ SCB เร่งตั้งสำรองส่วนเกินไปแล้วในครึ่งแรกปี 68 เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น หนุนให้คาดทั้งปี 2568 SCB จะมีกำไรสุทธิ 45,435 ล้านบาท โต 3.4% จากปีก่อน

ทั้งนี้แม้มองผลดำเนินงานของ SCB จะไม่โดดเด่น แต่ด้วยนโยบายปันผลที่น่าสนใจ ทำให้มอง ว่า SCB ยังเหมาะสำหรับการถือเพื่อรับเงินปันผล คาด SCB จะจ่ายปันผลหุ้นละ 10.7 บาท คิดเป็น Div. Yield 8.8% (คาดให้ปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 2 บาท คิดเป็น Div. Yield 1.7%) จึงคงคำ แนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย 130 บาท

ต่อกันที่ KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 2568 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามภาพของอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงเร็วกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และคาดลดลงต่อจากครึ่งปีแรกเพราะมีค่าใช้จ่ายลงทุนพัฒนาระบบ เพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปี และคาดจะเห็นผลกระทบจาก NIM ที่ปรับตัวลงชัดเจนขึ้น

ขณะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังค่อนข้างจำกัด และเน้นขยายเฉพาะลูกหนี้ความเสี่ยงต่ำ อย่างกลุ่มบริษัทใหญ่เป็นหลัก ขณะที่การตั้งสำรองคาดทรงตัวจากครึ่งปีแรก แม้ธนาคารเร่ง Write-Off ลูกหนี้ไปมากแล้ว ในครึ่งปีแรก แต่อาจยังตั้งสำรองส่วนเกิน (Management Overlay) อยู่เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จึงคงคาด KBANK จะมีกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 51,166 ล้านบาท โต 5.3% จากปีก่อน

ดังนั้นคงคำแนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย 175 บาท แม้ผลดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอตัวลง แต่ ราคาหุ้นมี Upside ราว 9% และคาดให้เงินปันผลปกติหุ้นละ 9.72 บาท คิดเป็น Div. Yield 6.1% (คาดเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.5 บาท คิดเป็น Div. Yield 0.9%)

ขณะที่ KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน

ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะสำรองฯลดลง แต่จะลดลงจากไตรมาสก่อน จาก NIM ที่ลดลง

ส่วน NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก ประกอบกับมีประเด็นเรื่องลูกหนี้ THAI ที่อาจเห็นการเลื่อนชั้นขึ้นจากเดิมที่เป็น NPL

โดยมอง KTB เป็นธนาคารที่มี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ ด้าน valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.66 เท่า ยังคงเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม

และสุดท้าย BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิของ BBL ในครึ่งหลังปี 2568 ลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งปีแรก เพราะจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานเร่งตัวขึ้นมากในไตรมาส 4/68 ตามปัจจัยฤดูกาล (Seasonality) ประกอบกับคาดมีแรงกดดันจาก NIM ที่จะปรับลดลงต่อจากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในเดือน พ.ค. เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก แต่คาดผลลบบางส่วนจะถูกบรรเทาด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่จะเริ่ม ชะลอลง จากการ Rollover ของเงินฝากประจำที่มีดอกเบี้ยต่ำลง

ส่วนสินเชื่อรวมมองว่ายังเติบโตได้จำกัด จากการชะลอแผนลงทุนของบริษัทใหญ่เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการกาแพงภาษี องสหรัฐฯ

สำหรับการตั้งสำรองคาดจะเห็นทิศทางปรับตัวลงในช่วงที่เหลือของปี หลัง BBL เร่งสำรองล่วงหน้าไปมากแล้วในครึ่งแรกปี 2568 ทำให้คาดทั้งปี 2568 BBL จะมีกำไรสุทธิ 42,490 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน ยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 176 บาท และคาดจะให้ Div. Yield อีก 5.9% 

เจาะลึกการเติบโต 4 หุ้นธนาคาร _S2T (เพจ) copy.jpg