จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีแรก 2568 แต่ดูเหมือนว่าทิศทางครึ่งปีหลังกำลังมีความท้าทายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ระวัง! มีแรงกดดันสูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 68
โดยประเมินว่ากลุ่มธนาคารจะเผชิญความท้าทายจาก NIM และคุณภาพสินทรัพย์ในครึ่งหลังของปี จากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่จะอ่อนแอลง ผลกระทบของภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกใน ครึ่งหลังของปี 68
อย่างไรก็ตาม หากเข้ามาสำรวจคาดการณ์การเติบโต ของ 4 หุ้นธนาคารรายใหญ่ พบว่า SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี 2568 คาดกำไรสุทธิของ SCB จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบริษัท Purple Venture เข้ามารบกวน
แต่คาดลดลงจากครึ่งปีแรก กดดันจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายลงทุนตามปัจจัยฤดูกาล รวมถึงแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่จะปรับลดลงต่อ สอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนการตั้งสำรองคาดสามารถปรับลดลงได้เล็กน้อย เพราะ SCB เร่งตั้งสำรองส่วนเกินไปแล้วในครึ่งแรกปี 68 เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น หนุนให้คาดทั้งปี 2568 SCB จะมีกำไรสุทธิ 45,435 ล้านบาท โต 3.4% จากปีก่อน
ทั้งนี้แม้มองผลดำเนินงานของ SCB จะไม่โดดเด่น แต่ด้วยนโยบายปันผลที่น่าสนใจ ทำให้มอง ว่า SCB ยังเหมาะสำหรับการถือเพื่อรับเงินปันผล คาด SCB จะจ่ายปันผลหุ้นละ 10.7 บาท คิดเป็น Div. Yield 8.8% (คาดให้ปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 2 บาท คิดเป็น Div. Yield 1.7%) จึงคงคำ แนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย 130 บาท
ต่อกันที่ KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 2568 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามภาพของอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงเร็วกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และคาดลดลงต่อจากครึ่งปีแรกเพราะมีค่าใช้จ่ายลงทุนพัฒนาระบบ เพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปี และคาดจะเห็นผลกระทบจาก NIM ที่ปรับตัวลงชัดเจนขึ้น
ขณะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังค่อนข้างจำกัด และเน้นขยายเฉพาะลูกหนี้ความเสี่ยงต่ำ อย่างกลุ่มบริษัทใหญ่เป็นหลัก ขณะที่การตั้งสำรองคาดทรงตัวจากครึ่งปีแรก แม้ธนาคารเร่ง Write-Off ลูกหนี้ไปมากแล้ว ในครึ่งปีแรก แต่อาจยังตั้งสำรองส่วนเกิน (Management Overlay) อยู่เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จึงคงคาด KBANK จะมีกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 51,166 ล้านบาท โต 5.3% จากปีก่อน
ดังนั้นคงคำแนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย 175 บาท แม้ผลดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอตัวลง แต่ ราคาหุ้นมี Upside ราว 9% และคาดให้เงินปันผลปกติหุ้นละ 9.72 บาท คิดเป็น Div. Yield 6.1% (คาดเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.5 บาท คิดเป็น Div. Yield 0.9%)
ขณะที่ KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน
ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะสำรองฯลดลง แต่จะลดลงจากไตรมาสก่อน จาก NIM ที่ลดลง
ส่วน NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก ประกอบกับมีประเด็นเรื่องลูกหนี้ THAI ที่อาจเห็นการเลื่อนชั้นขึ้นจากเดิมที่เป็น NPL
โดยมอง KTB เป็นธนาคารที่มี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ ด้าน valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.66 เท่า ยังคงเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม
และสุดท้าย BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิของ BBL ในครึ่งหลังปี 2568 ลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งปีแรก เพราะจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานเร่งตัวขึ้นมากในไตรมาส 4/68 ตามปัจจัยฤดูกาล (Seasonality) ประกอบกับคาดมีแรงกดดันจาก NIM ที่จะปรับลดลงต่อจากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในเดือน พ.ค. เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก แต่คาดผลลบบางส่วนจะถูกบรรเทาด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่จะเริ่ม ชะลอลง จากการ Rollover ของเงินฝากประจำที่มีดอกเบี้ยต่ำลง
ส่วนสินเชื่อรวมมองว่ายังเติบโตได้จำกัด จากการชะลอแผนลงทุนของบริษัทใหญ่เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการกาแพงภาษี องสหรัฐฯ
สำหรับการตั้งสำรองคาดจะเห็นทิศทางปรับตัวลงในช่วงที่เหลือของปี หลัง BBL เร่งสำรองล่วงหน้าไปมากแล้วในครึ่งแรกปี 2568 ทำให้คาดทั้งปี 2568 BBL จะมีกำไรสุทธิ 42,490 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน ยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 176 บาท และคาดจะให้ Div. Yield อีก 5.9%
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง