เตือนรับมือ “หุ้นธนาคาร” หลัง “วิทัย” นั่งผู้ว่าแบงก์ชาติ คาดหั่นดอกเบี้ย เสี่ยงฉุดกำไร 3-4%
ความกังกังวลของหุ้นธนาคารเกิดขึ้นอีกครั้งหลัง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 เป็นต้นไป แต่ประเด็นนี้ทำไมกดดันหุ้น “ธนาคาร” ทีมข่าวหาคำตอบมาให้แล้ว
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร โดยเชื่อว่าราคาหุ้นรับข่าวนี้ไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ก่อนที่จะเข้า ครม. ซึ่งวันนั้นราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงไป 3%
แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าหลังจาก นายวิทัย เข้ามาเป็นผู้ว่า ธปท. คนใหม่ที่จะเริ่มงานวันที่ 1 ต.ค. 2568 จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทันที 2 รอบ ในช่วงวันที่ 8 ต.ค. 2568 และ 17 ธ.ค. 2568
ทั้งนี้ใส่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปี 2568 จะอยู่ที่ 1.50% (ลดได้อีก 0.25%) ในประมาณการของกลุ่มธนาคารไปแล้ว ซึ่งหากมีการปรับลดมากกว่าคาดในเดือน ธ.ค. 2568 คาดว่าผลกระทบต่อกำไรปี 2568 จะจำกัด แต่จะกระทบกำไรในปี 2559 แทน โดยจะเป็น downside ต่อกำไรของกลุ่มธนาคารอีก 3-4% จากทุกๆ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทุก 0.25%
โดยกลุ่มธนาคารยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยังถูก เทรดที่ระดับเพียง 0.63 เท่า PBV และระดับ Dividend yield ของกลุ่มที่อยู่สูงถึง 7% จากค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% โดยยังคงเลือก SCB (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 140 บาท) และ KTB (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เป็น Top pick ขณะที่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลงจะเป็นกลุ่ม Finance (MTC, SAWAD, TIDLOR)
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในมุมฝ่ายวิจัย แม้ผู้ว่า ธปท. ท่านใหม่ ยังไม่ทันประชุม กนง. 13 ส.ค. 68 แต่ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสลงสู่ระดับ 1.50% ตามภาวะเศรษฐกิจ และตลาดคาดลงต่อเนื่องอีก 1 ครั้งสู่ 1.25% ในช่วงไตรมาส 4/68 (8 ต.ค. หรือ 17 ธ.ค.)
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร ของฝ่ายวิจัย พอรองรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% หากมีการลดช่วงไตรมาส 4/68 ประเมินรอบ ต.ค. จะกระทบกำไรสุทธิกลุ่มฯ ราว 2% และ ธ.ค. จะน้อยลง ตามเวลาการรับรู้อัตราดอกเบี้ยใหม่
ประกอบกับกำไรสุทธิกลุ่มฯ งวดครึ่งแรกปี 68 คิดเป็นสัดส่วน 53% ของประมาณการทั้งปี (ครึ่งแรกปี 68 ของ SCB BBL KBANK ที่ 57% 54% และ 53% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี ตามลำดับ) คาด Downside ต่อคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มฯ ปี 2568 จากการลดลงของ NIM ไม่สูง
อย่างไรก็ตาม การลงดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ใช่ Sentiment ที่ดีต่อกลุ่มธนาคารใหญ่ แต่คาดว่ากลุ่มฯ ยังมีปัจจัยประคองราคาหุ้นจาก Dividend yield 6-9% ต่อปี (ในอีกแง่มุมดอกเบี้ยที่ลดลง จะสร้างความน่าสนใจให้กับกลุ่มหุ้นปันผลสูง) และโอกาสในการซื้อหุ้นคืน คงชอบ SCB KTB จาก Dividend yield น่าสนใจ และ ROE สูงสุดในกลุ่ม D-SIBs ส่วนเชิงกลยุทธ์มอง TTB เพราะคาด Dividend yield ครึ่งแรกปี 68 ราว 3.4% มากสุดในกลุ่มฯ และมีซื้อหุ้นคืนถึง 1 ส.ค. 68 ทางตรงข้าม TISCO KKP และ Non Bank (ชอบ TIDLOR MTC SAWAD) จะได้ประโยชน์จากการลงดอกเบี้ย หลัง Loan spread กว้างขึ้น ตามต้นทุนทางการเงินลด
ยอดนิยม
_0.jpg)
GULF ทุ่มงบ 128 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าฮุบโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Lay ขนาดกำลังผลิต 770 MW ที่สปป.ลาว
%20copy_0.jpg)
ตลท. ปลดล็อค THAI หวนกลับเข้าเทรดวันที่ 4 ส.ค. นี้ พร้อมไม่กำหนดเกณฑ์ซิลลิ่ง-ฟลอร์
_0.jpg)
โบรกฯชี้ SET โดนแรงกดดัน หลังทีมไทยเจรจาภาษี “ทรัมป์” ล่าช้า ล่าสุดสหรัฐฯ ปิดดีลภาษีญี่ปุ่น-ฟิลิปปินส์
%20copy_0.jpg)
ทองคำ ทะลุ 3,400 เหรียญสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนทางการค้า SPDR เดินหน้าซื้อสุทธิสะสมทั้งเดือน
%20copy_0.jpg)