รายงานพิเศษ : FPI ลุยขยายโรงงานรับออเดอร์ทะลัก! รุกตลาดอินเดีย-ซาอุฯ หนุนโตก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดรายได้แตะ 3,000 ล้านบาท
บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ หรือ FPI เดินหน้าขยายธุรกิจต่อยอดการส่งออกไปตลาดอินเดียและซาอุดีอาระเบีย กางแผนเปิดโรงงานใหม่ 5 แห่ง ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 3,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุด พร้อมวางรากฐานการเติบโตระยะยาวอย่างมั่นคงในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
** ลุยขยายธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์สู่ตลาดโลก
บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) ภายใต้การบริหารงานโดย “สมพล ธนาดำรงศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์สู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน
โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปี 2568 ที่มีรายได้รวม 624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% เป็นผลจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดลงของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
** เผชิญความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบจากการส่งเสริม EV และการรุกคืบของผู้ผลิตจีน ส่งผลให้ตลาดรถกระบะเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย มีแนวโน้มจะหดตัวลงถึง 20% กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้ การเข้ามาของรถ EV จากจีนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ได้สร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ตั้งฐานการผลิตในไทย ซึ่งส่งผลต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในระบบ
** วางกลยุทธ์ขยายตลาด – ลงทุนเทคโนโลยี
FPI วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพใหม่ เช่น อินเดียและซาอุดีอาระเบีย พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง เทอร์โมฟอร์มมิ่ง (Thermoforming) และ 3D Printing เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกระบวนการผลิต รองรับการผลิตทั้งแบบ High volume และ Very low volume โดยเฉพาะการผลิตสินค้าสำหรับกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche Market) ซึ่งสามารถตั้งราคาสูงได้ และมีการแข่งขันด้านราคาน้อยกว่าตลาดแมส
** ตลาดอินเดีย - ซาอุฯ แนวโน้มเติบโตสูง
สำหรับประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและต้นทุนต่ำกว่าไทยถึง 30% FPI ได้ปรับกลยุทธ์จากเดิมที่รับออเดอร์จากค่ายรถซูซูกิ มาเป็นการร่วมงานกับโตโยต้า โดยได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นจากทั้งหมด 7 รุ่นที่กำลังจะเปิดตัวภายในปีนี้ รวมคำสั่งซื้อในมือกว่า 500 ล้านรูปี และคาดว่าจะปิดปีด้วยยอดรวม 900 ล้านรูปี หรือเติบโตเกือบ 80%
ด้านซาอุดีอาระเบีย FPI เตรียมจัดตั้งโรงงานใหม่ใน เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Free Zone) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุฯ โดยมีโอกาสเป็นซัพพลายเออร์ให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายใหม่ เช่น Ceer, Lucid และ Hyundai คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2569 ด้วยงบลงทุนเบื้องต้น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และลงทุนเพิ่ม 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี รวมแผนลงทุนทั้งสิ้น 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่สำคัญ FPI มองเห็นว่าการเข้าไปยืนในจุดที่ยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดชิ้นส่วนจะทำให้บริษัทฯ สามารถเป็นรายแรกที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
** วางแผนตั้งโรงงานใหม่ 5 แห่ง
สำหรับแผนระยะยาวของ FPI คือการตั้งโรงงานใหม่รวม 5 แห่ง โดยใช้แนวคิดขยายธุรกิจแบบต่อเนื่อง หากประเทศใดประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นฐานต่อยอดไปยังประเทศถัดไป เช่น หากอินเดียเติบโตได้ตามเป้า ก็จะนำโมเดลไปขยายในซาอุฯ ต่อไป เป้าหมายคือการสร้างระบบผลิตครบวงจร รองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต ทั้งในตลาด OEM และ Aftermarket
FPI ยังคงรักษาฐานรายได้จากการส่งออก ซึ่งคิดเป็นกว่า 60–70% ของรายได้รวม โดยเฉพาะจากตะวันออกกลางที่มีความต้องการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่สำคัญคือบริษัทลูกในอินเดียและไทยยังมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยมีงานในมือรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในสองปีข้างหน้า
** ปักหมุดรายได้ปีนี้ 3,000 ลบ. ออลไทม์ไฮ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก FPI แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ โดยขยายตลาดไปยังต่างประเทศ มุ่งเน้นเทคโนโลยีการผลิตใหม่ และสร้างความแตกต่างด้วยการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม ขณะเดียวกันยังคงความแข็งแกร่งในตลาดหลัก พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ พร้อมวางรากฐานการเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืนในตลาดโลก